ทองแดงขึ้นสวนทางทอง สหรัฐฯ-จีนมีแววเจรจาจบ คาดปีหน้าขึ้นต่อจากอุปทานหด
ราคาทองแดงพุ่งทะยานขึ้นใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์ ขณะที่ความคาดหวังต่อการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนได้เพิ่มแรงขับเคลื่อนให้กับกระแสราคาที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเริ่มต้นจากปัจจัยรบกวนด้านอุปทานในหลายเหมืองทองแดงรายใหญ่ของโลก ส่งผลให้ความกังวลต่อภาวะขาดแคลนในตลาดทวีความรุนแรงขึ้น
ราคาทองแดงในตลาดลอนดอนเมทัลเอ็กซ์เชนจ์ (London Metal Exchange: LME) ปรับขึ้นมากถึง 1.2% แตะระดับ 11,094 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งอยู่ต่ำกว่าสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้ในเดือนพฤษภาคม 2567 เพียง 10 ดอลลาร์ การพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงซื้อเก็งกำไรและความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่าความต้องการใช้ทองแดงทั่วโลกจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน
ขณะเดียวกัน สัญญาทองแดงล่วงหน้าบนตลาด COMEX ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นสูงสุดแตะ 5.247 ดอลลาร์ต่อปอนด์ หรือเทียบเท่าประมาณ 11,568 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งยังอยู่ไม่ห่างจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 12,330 ดอลลาร์ต่อตันที่บันทึกไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม การเคลื่อนไหวในตลาดล่วงหน้านี้ตอกย้ำถึงแรงเก็งกำไรที่แข็งแกร่งและการมองบวกของนักลงทุนต่อแนวโน้มราคาทองแดงในระยะกลางถึงยาว
การเจรจาสหรัฐ-จีนมีแววคลี่คลาย ช่วยหนุนราคา
แรงหนุนสำคัญของราคาทองแดงมาจากกระแสข่าวเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยสัญญาณจากทั้งสองฝ่ายบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการลงนามข้อตกลงการค้าครั้งสำคัญ ซึ่งจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและกระตุ้นการบริโภคโลหะอุตสาหกรรมในช่วงที่อุปทานตึงตัว
การคาดหวังต่อข้อตกลงดังกล่าวได้สร้างแรงกระเพื่อมเชิงบวกต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม โดยเฉพาะทองแดงซึ่งมักถูกมองว่าเป็น “เทอร์โมมิเตอร์ของเศรษฐกิจโลก” หรือ ตัวชี้วัดภาพรวมของเศรษฐกิจโลก (Barometer of the Global Economy) เนื่องจากทองแดงเป็นแร่ที่ถูกใช้เป็นจำนวนมากในภาคการก่อสร้าง การผลิตไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้หากศึกการค้าระหว่างสองประเทศใหญ่มีแนวโน้มคลี่คลายลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้ทองแดงก็มักจะมีแนวโน้มสูงขึ้นตามไปด้วย
ตลอดปีนี้ ราคาทองแดงได้ปรับตัวขึ้นมากกว่า 25% แม้ในช่วงต้นปีจะเผชิญแรงเทขายจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่สร้างความผันผวนในตลาด แต่แรงหนุนกลับเพิ่มขึ้นจากเหตุหยุดชะงักในเหมืองทองแดงขนาดใหญ่หลายแห่งทั่วโลก
เหมือง Kamoa-Kakula ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการเหมืองทองแดงขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ต้องหยุดการผลิตบางส่วนหลังเกิดอุทกภัยรุนแรง เหมืองใต้ดินหลักในชิลี ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางเทคนิค ขณะที่เหมือง Grasberg ในอินโดนีเซีย ซึ่งบริหารโดย Freeport-McMoRan Inc. ต้องลดกำลังการผลิตลงหลังเกิดเหตุการณ์ดินถล่มที่คร่าชีวิตคนงานและทำลายโครงสร้างพื้นฐานบางส่วน
เหมืองกราสเบิร์ก (Grasberg) ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเหมืองทองแดงที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ได้ระงับการดำเนินงานเมื่อเดือนที่แล้ว หลังเกิดเหตุดินโคลนถล่มและน้ำท่วมพื้นที่ ส่งผลให้คนงานเสียชีวิต 7 ราย การหยุดชะงักของเหมืองขนาดใหญ่นี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วตลาด และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้นักวิเคราะห์ปรับคาดการณ์จากเดิมที่ตลาดจะมีส่วนเกิน 40,000 ตันในปี 2568 มาเป็นภาวะขาดดุล 124,000 ตัน ทั้งยังคาดว่าการขาดดุลจะขยายตัวต่อเนื่องเป็น 150,000 ตันในปี 2569
จากปัจจัยเหล่านี้ กลุ่มศึกษาอุตสาหกรรมทองแดงระหว่างประเทศ (International Copper Study Group: ICSG) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของอุปทานเหมืองทองแดงในปี 2568 โดยคาดว่าการผลิตจะขยายตัวเพียง 1.4% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 2.3% และต่ำกว่าการเติบโตจริงที่ 2.8% ในปี 2567 ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันต่อซัพพลายที่อาจนำไปสู่การขาดดุลของตลาดในปีหน้า
ความตึงตัวด้านอุปทานยังทำให้เกิดข้อสงสัยต่อความสามารถของผู้ผลิตในการตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคเปลี่ยนผ่านพลังงานทั่วโลก ทองแดงถือเป็นโลหะสำคัญในการผลิตสายไฟฟ้า แบตเตอรี่ และท่อในระบบพลังงานสะอาด โดยบริษัท BHP Group ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่รายใหญ่ที่สุดของโลก คาดการณ์ว่าความต้องการทองแดงทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นมากถึง 70% ภายในปี 2593 จากการขยายตัวของเทคโนโลยีไฟฟ้าและยานยนต์พลังงานสะอาด
อีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองแดงคือการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐตลอดปีนี้ ซึ่งทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์มีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ปัจจัยดังกล่าวได้เพิ่มแรงซื้อในตลาดโลหะอุตสาหกรรม และเสริมแรงให้ราคาทองแดงเดินหน้าทำสถิติใหม่ได้ในระยะอันใกล้
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ราคาทองแดงมีแนวโน้มสูงขึ้น ผลสำรวจนักวิเคราะห์ 30 รายที่จัดทำโดยรอยเตอร์ระบุว่า สัญญาทองแดงแคชของ LME มีแนวโน้มจะเฉลี่ยอยู่ที่ 10,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2569 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 7.2% จากการคาดการณ์ในเดือนกรกฎาคมที่ระดับ 9,796 ดอลลาร์ต่อ ตัน
“เราคาดว่าทองแดงจะสามารถรักษาระดับราคาที่แข็งแกร่งไว้ได้ในช่วงปี 2569 และต่อเนื่องไปอีกหลังจากนั้น” แมทธิว เชอร์วูด หัวหน้านักกลยุทธ์จาก Economist Intelligence Unit (EIU) กล่าว “พัฒนาการล่าสุดบ่งชี้ว่าตลาดทองแดงบริสุทธิ์จะเริ่มเข้าสู่ภาวะตึงตัวเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้”
อะลูมิเนียมได้แรงหนุน จีนผลิตใกล้ถึงเพดาน
ในขณะที่ทองแดงพุ่งขึ้น อะลูมิเนียมซึ่งเป็นโลหะอุตสาหกรรมสำคัญอีกชนิดก็ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยด้านอุปทานและความต้องการเช่นกัน รอยเตอร์รายงานว่า ราคามาตรฐานของอะลูมิเนียมในตลาด LME ปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 14% ตั้งแต่ต้นปี โดยส่วนหนึ่งได้รับแรงขับเคลื่อนจากความกังวลเรื่องการผลิตในจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกที่ขณะนี้มีกำลังการผลิตเข้าใกล้เพดานสูงสุดที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 45 ล้านตันต่อปี
“ในด้านต้นทุนและอุปทาน มีหลายปัจจัยที่อาจสนับสนุนราคาของอะลูมิเนียมในระยะกลางถึงระยะยาว” สุทักษณา อุนนิกฤษนัน นักวิเคราะห์อาวุโสจากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดกล่าว “แนวโน้มอุปสงค์ยังคงเป็นบวก โดยเฉพาะในภาคพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคที่ใช้อลูมิเนียมมากที่สุดในโลก”
ผลสำรวจของรอยเตอร์ระบุว่า ราคามาตรฐานของอะลูมิเนียมแคชในตลาด LME มีแนวโน้มจะเฉลี่ยอยู่ที่ 2,679 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2569 เพิ่มขึ้น 3% จากการคาดการณ์ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ยังได้ปรับลดการคาดการณ์ส่วนเกินของตลาดในปีเดียวกัน เหลือ 250,000 ตัน จากเดิมที่ 281,500 ตัน ซึ่งสะท้อนถึงความตึงตัวของตลาดที่อาจเริ่มปรากฏในช่วงปลายทศวรรษนี้
นอกจากนี้ การวางแผนขายสินทรัพย์ของบริษัทในรัสเซียยังถูกจับตามองว่าเป็นหนึ่งในความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดของภาคอุตสาหกรรมโลหะภายใต้แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครน
