
ราคาทองคำร่วงลงต่ำกว่าระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันนี้ (28 ต.ค. 68) เนื่องจากตลาดเริ่มเห็นสัญญาณของการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งลดแรงหนุนจากสถานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ของทองคำลง ขณะเดียวกัน นักลงทุนทั่วโลกต่างรอคอยผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
ณ เวลา 12:37 น. ตามเวลาประเทศไทย ราคาทองคำภายในประเทศมีการปรับเปลี่ยนทั้งหมด 14 ครั้ง โดยราคาทองคำแท่งอยู่ที่ระดับรับซื้อบาทละ 60,950 บาท และขายออกบาทละ 61,050 บาท ขณะที่ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 59,730.40 บาท และขายออกบาทละ 61,850 บาท ส่วนราคาทองคำสปอตในตลาดโลกเคลื่อนไหวอยู่ที่ 3,962 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
David Meger ผู้อำนวยการฝ่ายการซื้อขายโลหะของบริษัท High Ridge Futures กล่าวให้ความเห็นว่า การที่มีแนวโน้มจะเกิดข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน “เป็นสัญญาณว่าตลาดอาจต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำน้อยลง” เนื่องจากความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจโลกเริ่มผ่อนคลายลง
ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,381.21 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ได้อ่อนตัวลงกว่า 3.2% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับความคืบหน้าในกระบวนการเจรจาการค้าระหว่างวอชิงตันและปักกิ่ง โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คณะเจรจาของทั้งสองประเทศได้วางกรอบข้อตกลงเบื้องต้น เพื่อชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่จะมีผลบังคับใช้เร็ว ๆ นี้ และเลื่อนการออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
นักวิเคราะห์คาดว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน จะพบปะกันในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหารือในรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อตกลงทางการค้า ซึ่งหากบรรลุผลสำเร็จอาจช่วยลดแรงกดดันด้านความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
Jeffrey Christian หุ้นส่วนผู้จัดการของสำนักวิจัย CPM Group กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากแรงขายเชิงเทคนิคที่เกิดขึ้นเมื่อราคาทองคำหลุดระดับสำคัญแล้ว การคลี่คลายของสถานการณ์ทางการค้าก็เป็นปัจจัยที่เร่งให้ราคาทองคำปรับฐานลง “ราคาทองที่ปรับขึ้นจากระดับ 3,800 ดอลลาร์เป็นกว่า 4,400 ดอลลาร์ภายในเวลาเพียงสามสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม กำลังอยู่ในช่วงของการปรับสมดุลหลังจากการเก็งกำไรที่รุนแรง” เขากล่าว
ในส่วนของนโยบายการเงิน ตลาดประเมินโอกาสสูงถึง 97% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมวันพุธนี้ ท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มชะลอตัว ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยมักได้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมของอัตราดอกเบี้ยต่ำ เนื่องจากต้นทุนค่าเสียโอกาสของการถือทองลดลง
นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่ทองคำเท่านั้นที่อ่อนตัว ราคาสปอตของโลหะมีค่าชนิดอื่น ๆ ก็ปรับลดลงเช่นกัน เช่น เงิน (Silver) ที่ร่วงลง 3.6% อยู่ที่ 46.85 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แพลทินัม (Platinum) ที่ลดลง 0.4% อยู่ที่ 1,592.03 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่พาลาเดียม (Palladium) อ่อนตัวลง 1.8% อยู่ที่ 1,402.98 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ภาพรวมตลาดโลหะมีค่าจึงสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศการลงทุนจาก “โหมดป้องกันความเสี่ยง” กลับเข้าสู่ “โหมดรับความเสี่ยง” มากขึ้น เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มมีทิศทางที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดโลกอีกครั้ง
สำหรับทิศทางราคาทองคำวันนี้และกลยุทธ์การลงทุนในอนาคต บทวิเคราะห์จาก YLG Bullion and Futures ระบุว่า ราคาทองคำโลกเมื่อวานปรับตัวหลุดกรอบสำคัญที่ 4,015-4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือเป็นสัญญาณว่าการปรับฐานยังไม่สิ้นสุด และราคายังมีโอกาสอ่อนตัวลงต่อไป โดยรอบนี้นับเป็นการปรับฐานในระดับใหญ่ อย่างไรก็ตาม หากราคายังคงสามารถยืนเหนือระดับ 3,409 ดอลลาร์ได้ ยังประเมินได้ว่าเป็นเพียงการพักตัวเพื่อปรับขึ้นต่อในระยะกลางถึงยาว
สำหรับวันนี้ หากราคายืนเหนือ 3,973 ดอลลาร์ได้ มีโอกาสดีดตัวขึ้นระยะสั้น แต่หากดีดตัวขึ้นเพียงเพื่อปรับลงต่อ แนวต้านจะอยู่ที่ 4,058 ดอลลาร์ หากผ่านระดับนี้ได้จะเริ่มเปิดมุมมองว่าการพักฐานอาจสิ้นสุด โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 4,137-4,161 ดอลลาร์
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้เสี่ยงซื้อเมื่อราคายังไม่หลุด 3,973-3,940 ดอลลาร์ และตัดขาดทุนหากหลุด 3,940 ดอลลาร์ ขณะที่แนวขายทำกำไรให้พิจารณาบริเวณ 4,058-4,084 ดอลลาร์ หากราคาผ่านได้ให้ชะลอการขายและรอแนวต้านถัดไป
ขณะเดียวกัน บทวิเคราะห์จากแม่ทองสุก (MTS) ระบุว่า ราคาทองคำทางเทคนิคยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากช่วงวันศุกร์ โดยหลุดแนวรับทางจิตวิทยาที่ 4,000 ดอลลาร์ และลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 3,970 ดอลลาร์ ก่อนจะเริ่มมีแรงซื้อกลับขึ้นมาบริเวณ 4,000 ดอลลาร์ในช่วงเช้าวันนี้
ความคืบหน้าในเชิงบวกของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำและโลหะมีค่าอื่น ๆ เช่น เงิน (Silver) โดยราคาทองคำวานนี้ร่วงลงกว่า 100 ดอลลาร์ ส่งผลให้บางสถาบันการเงินปรับลดเป้าหมายราคาทองคำสิ้นปีลงเหลือ 3,500 ดอลลาร์ และคาดว่าราคาในระยะยาวอาจทรงตัว ไม่ได้ปรับขึ้นแรงนัก
ในด้านการเมือง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงเดินสายพบผู้นำเอเชียเพื่อเจรจาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจก่อนพบผู้นำจีนในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ โดยตลาดให้ความสนใจกับผลการประชุมเฟดในคืนพรุ่งนี้ ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งอาจช่วยหนุนราคาทองคำระยะสั้น ขณะที่ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยอยู่ที่ 98.68 จุด ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 32.64 บาทต่อดอลลาร์ กองทุนทองคำ SPDR ขายทองออกอีก 8.01 ตัน เหลือการถือครอง 1,038.92 ตัน โดยเดือนตุลาคมซื้อสุทธิ 27.19 ตัน และตั้งแต่ต้นปี 2568 ซื้อสุทธิรวม 165.54 ตัน
เชิงเทคนิค ราคาทองคำในกราฟรายวันอยู่ในช่วงปรับฐานที่ระดับ Fibonacci 38% หรือบริเวณ 3,980 ดอลลาร์ ซึ่งเริ่มฟอร์มฐานลักษณะ Double Bottom ถือเป็นสัญญาณบวกว่าราคาอาจกำลังเข้าสู่จุดต่ำสุด แต่ยังต้องรอการยืนยันเพิ่มเติม โดยไม่ควรหลุดระดับ 4,000 ดอลลาร์ลงมาอีก การปรับฐานลักษณะนี้ถือเป็นภาวะปกติในทางเทคนิค โดยราคาทองคำระยะสั้นยังอยู่ในทิศทางขาลง หากปิดต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์จะเป็นสัญญาณลบ ขณะที่หากสามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือ 4,100 ดอลลาร์ได้ จึงจะเริ่มเห็นสัญญาณหยุดการปรับลง
ภาพรวมกราฟทางเทคนิคเข้าสู่เขต Oversold และตัวชี้วัดหลายตัวเริ่มกลับสู่สมดุล แนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 3,980 ดอลลาร์ แนวต้านอยู่ที่ 4,050 ดอลลาร์ สำหรับราคาทองคำไทยมีแนวรับที่ 61,300 บาทต่อบาททองคำ และแนวต้านที่ 62,400 บาทต่อบาททองคำ
ด้านโกลเบล็กให้มุมมองว่าราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวผันผวน ภายใต้แรงกดดันจากทิศทางสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่เริ่มคลี่คลาย ทำให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงแรงขายจากกองทุน SPDR ที่เทขายทองราว 8 ตัน เป็นอีกปัจจัยลบ
อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมสัปดาห์นี้ ยังช่วยพยุงราคาทองคำได้บ้าง โดยแนะนำให้นักลงทุนเก็งกำไรในกรอบ 3,970-4,045 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับมุมมองต่างประเทศ นักวิเคราะห์ยังคงรักษาท่าทีเชิงบวกต่อโลหะมีค่าทั้งสองชนิด โดยมองว่าราคาทองคำและเงินยังมีแนวโน้มจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว แม้ว่าจะมีความผันผวนในช่วงที่ผ่านมา โดยผู้เชี่ยวชาญจากหลายสถาบันการเงินยืนยันว่า ปัจจัยพื้นฐานทั้งด้านอุปสงค์จากภาครัฐและเอกชน รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญของราคาทองคำและเงินในปีต่อ ๆ ไป
ในช่วงที่ผ่านมา สถาบันการเงินรายใหญ่หลายแห่งได้ออกมาปรับเพิ่มประมาณการราคาทองและเงินในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยธนาคาร OCBC ปรับเป้าราคาทองคำขึ้นเป็น 4,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และเงินเป็น 56 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ Maybank มองว่า ทองคำอาจแตะ 4,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปีหน้า ส่วน HSBC ซึ่งเคยคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ทองคำจะขึ้นไปถึง 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในปี 2569 ได้ย้ำว่าการปรับฐานในช่วงนี้เป็นเพียงการพักตัวก่อนการขยับขึ้นรอบใหม่
นาย Manpreet Gill ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนประจำภูมิภาคแอฟริกา ตะวันออกกลาง และยุโรป ของ Standard Chartered Wealth Solutions ระบุว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มจะขยับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงเดือนต่อ ๆ ไป โดยคาดว่าจะเห็น “ความผันผวนสองทาง” ที่เด่นชัดขึ้น ขณะที่ราคาของเงินอาจเผชิญแรงต้านทางเทคนิคที่แข็งแกร่งบริเวณ ระดับ 50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และถูกกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอกว่าคาด
“แม้ในระยะสั้น ราคาจะผันผวนและอาจเผชิญแรงขายสลับซื้อ แต่ในภาพรวม เรายังมองว่าทิศทางราคายังคงเป็นขาขึ้น และในพอร์ตการลงทุนแบบหลายสินทรัพย์ เรายังให้น้ำหนักกับทองคำมากกว่าปกติ” นาย Gill กล่าว
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นในรอบนี้มีหลายประการ ตั้งแต่การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลต่อวินัยการคลังของรัฐบาล ไปจนถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งทั้งหมดสะท้อนความไม่มั่นใจในระบบการเงินโลกในปัจจุบัน
นาย Vasu Menon กรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของ OCBC กล่าวว่ามี “การสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบเงินตราแบบดั้งเดิม” ที่ไม่ถูกหนุนด้วยสินทรัพย์จริง เช่น ทองคำ และระบุว่า “ตั้งแต่ปี 2565 ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ได้เพิ่มการซื้อทองคำอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากชาติตะวันตกใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความกลัวต่อความเสี่ยงในการถูกยึดทรัพย์สินในต่างประเทศ”
นอกจากภาครัฐแล้ว ความต้องการจากนักลงทุนรายย่อยและกองทุน ETF ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากตลาดแสดงให้เห็นว่าเงินทุนไหลเข้าสู่กองทุนทองคำมากขึ้น ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มนักลงทุนรายย่อยได้กลายเป็นแรงซื้อหลักในช่วงการปรับขึ้นรอบล่าสุด ขณะที่โลหะอื่น ๆ เช่น เงิน แพลทินัม และพาลาเดียม ซึ่งไม่ใช่สินทรัพย์สำรองของธนาคารกลาง ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน ยิ่งยืนยันถึงแรงซื้อจากภาคเอกชน
นาย Menon ยังเสริมว่า ความกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้สาธารณะของรัฐบาลหลายประเทศ รวมถึงแรงกดดันทางการเมืองที่มีต่อธนาคารกลาง ได้กลายเป็นแรงผลักสำคัญต่อการเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
สำหรับเงิน (Silver) นอกจากจะเคลื่อนไหวตามแรงหนุนของทองคำแล้ว ยังได้รับอานิสงส์จาก อุปสงค์เชิงอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เช่น การผลิตแผงโซลาร์เซลล์และยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต่างต้องใช้เงินเป็นวัตถุดิบสำคัญ ขณะที่อุปทานทั่วโลกยังคงจำกัด
“พื้นฐานด้านอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งขึ้น บวกกับแนวโน้มราคาทองคำที่ยังมีอัพไซด์ ล้วนช่วยสนับสนุนแนวโน้มของเงินในระยะยาวผ่านผลกระทบเชิงบวกจากทองคำ” นาย Menon กล่าว
นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าการอ่อนตัวของราคาทองคำในช่วงนี้เป็น “จังหวะเข้าซื้อที่น่าสนใจ” สำหรับนักลงทุนระยะยาว นาย Craig Bell หัวหน้าฝ่ายพอร์ตการลงทุนหลายสินทรัพย์ของ Eastspring Investments ระบุว่า การเทขายล่าสุดเป็นเพียงการปรับฐานทางเทคนิค และเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมทองคำ
นาย Eddy Loh ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนของ Maybank มองว่า ความต้องการทองคำเชิงโครงสร้างยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายกระจายการถือครองสินทรัพย์สำรอง ขณะที่นาย James Steel หัวหน้านักวิเคราะห์โลหะมีค่าของ HSBC กล่าวเสริมว่า “โครงสร้างตลาดและปัจจัยพื้นฐานที่ผลักดันราคาทองคำยังคงอยู่ครบ และมีศักยภาพที่จะหนุนให้ราคาปรับขึ้นต่อไปได้อีก”
นาย Loh แนะนำให้นักลงทุนที่มีระดับความเสี่ยงปานกลางจัดสรรทองคำไว้ ราว 5% ของพอร์ตการลงทุน ส่วนผู้ที่ยังไม่มีทองคำสามารถเริ่มทยอยสะสมได้ในช่วงนี้ ขณะที่ผู้ที่มีสัดส่วนต่ำกว่า 5% อาจเพิ่มน้ำหนักขึ้นได้อีกเล็กน้อย ด้านนาย Gill เห็นว่าสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับพอร์ตการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงอยู่ที่ 5-7%
แม้ทองคำจะไม่ให้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล แต่ในระยะยาวก็พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง และช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ “นักลงทุนควรทยอยสะสมทองคำในช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อเฉลี่ยต้นทุน การปรับฐานในรอบนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในระยะยาว” นาย Gill กล่าว
สำหรับเงิน (Silver) นักวิเคราะห์จาก Eastspring Investments ให้มุมมองที่ระมัดระวังกว่า โดยชี้ว่า แม้แนวโน้มระยะกลางจะเป็นบวกจากอุปสงค์อุตสาหกรรมและกระแสเงินทุนจากกองทุน ETF แต่ความผันผวนในระยะสั้นยังคงสูง