ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของไทย 4 แห่งกำลังเผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Income) ในไตรมาส 3 ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงภาวะเปราะบางของภาคการเงินท่ามกลางปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแรง
ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวช้ากว่าประเทศในภูมิภาค ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.5% ซึ่งเป็นระดับที่เคยเกิดขึ้นเพียงในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ เช่น ระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19
นักวิเคราะห์เตือนว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ประกอบกับความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนที่ลดลง อาจทำให้ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารถดถอยต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ระบุในรายงานเดือนสิงหาคมว่า “การฟื้นตัวหลังโควิดของไทยยังอ่อนแอกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2568-2569 มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อภาคธนาคาร” ทั้งนี้ ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงยังคงจำกัดความสามารถของลูกหนี้ในการชำระคืนเงินกู้ และทำให้ธนาคารมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า ธนาคารรายใหญ่หลายแห่งกำลังเผชิญแรงกดดันต่อรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดย
Sarah Jane Mahmud นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า ธนาคารเหล่านี้อาจจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระดับที่จูงใจ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน แม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะส่งผลให้รายได้จากดอกเบี้ยลดลง ซึ่งยิ่งบีบให้ส่วนต่างกำไร (Margin) แคบลงไปอีก ขณะที่ภาวะการปล่อยสินเชื่อที่ซบเซาและหนี้เสียที่ยังอยู่ในระดับสูง ยิ่งซ้ำเติมแรงกดดันต่อผลประกอบการโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ เรทติ้งส์ ระบุว่า ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของไทยยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับความผันผวน “ธนาคารหลักของไทยยังมีบัฟเฟอร์รองรับความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ได้ในระดับที่น่าพอใจ” รายงานระบุ
ที่มา: Bloomberg