ภารกิจสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นและความน่าสนใจให้กับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยประการหนึ่งคือ บริษัทจดทะเบียน ที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 800 รายทั้งใน SET และ mai แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ เพราะส่วนหนึ่งถูกมองว่า ธุรกิจเหล่านั้นอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดิม เช่น พลังงาน เกษตร ธนาคาร ค้าปลีก ในขณะที่ธุรกิจเทคโนโลยีกำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลก รวมถึง ตลาดการลงทุนด้วยเช่นกัน
นี่จึงเป็นที่มาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามผลักดันให้มีบริษัทจดทะเบียนใหม่ๆที่ทำธุรกิจสอดรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจใหม่ล่าสุดบีโอไอผนึกกำลังกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ดึงบริษัทชั้นนำเข้าตลาดหุ้นไทย โดยนำร่องดึงต่างชาติที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง 3 สาขาหลัก คือ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ยานยนต์ไฟฟ้า และดิจิทัล
ซึ่งแน่นอนว่า ต้องมีการดึงดูดธุรกิจเป้าหมายเหล่านั้น ด้วยสิทธิประโยชน์จากบีโอไอและการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ ระบุว่า ได้หารือร่วมกับ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ และคณะผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้วในการผลักดัน 2 เรื่องสำคัญ คือ
1.ดึงบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศที่เข้ามาตั้งฐานธุรกิจในประเทศไทยและได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
2.สนับสนุนให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว มีการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่า ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการให้สิทธิประโยชน์จากทั้งสองหน่วยงาน
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง 3 สาขาหลัก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ยานยนต์ไฟฟ้า และดิจิทัล ทั้งสองหน่วยงานเห็นตรงกันว่า เป็นกลุ่มที่มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และมีตัวอย่างความสำเร็จของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่ในปัจจุบัน อาทิ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
นอกจากนี้ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมมือกันสนับสนุนให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อยู่แล้ว มีการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่า ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนในการจัดทำแผนการเติบโต การสื่อสารกับผู้ลงทุน และการเพิ่ม Corporate Visibility ผ่านโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน (โครงการ JUMP+)
และบีโอไอจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างความยั่งยืน ผ่านมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) โดยทั้งสองหน่วยงานจะ เพิ่มช่องทางบริการพิเศษ (Fast-Track) สำหรับบริษัทที่ประสงค์จะเข้าร่วมทั้งสองมาตรการของตลาดหลักทรัพย์ฯ และบีโอไออีกด้วย
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ ระบุว่า
“ในสถานการณ์โลกปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูง บีโอไอ และตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นถึงความสำคัญของการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการและเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเดิมมีการปรับตัว ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และมุ่งสู่ความยั่งยืน ขณะเดียวกัน ก็ต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงให้สามารถสร้างฐานที่มั่นคงในประเทศไทย เพื่อให้เป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยเราต้องการเชิญชวนให้บริษัทชั้นนำเหล่านี้ มาดำเนินธุรกิจในไทยแบบครบวงจร ทั้งฐานการผลิต การวิจัยและพัฒนา สำนักงานภูมิภาค รวมทั้งการขยายธุรกิจผ่านตลาดทุน โดยอาศัยเครื่องมือสนับสนุนและการทำงานอย่างใกล้ชิดของทั้งบีโอไอและตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการผลักดันให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น”
ด้าน นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวเสริมว่า
“ความร่วมมือระหว่างบีโอไอและตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสนับสนุนให้ธุรกิจใหม่ ๆ เข้าถึงแหล่งเงินทุนและสามารถขยายการเติบโตผ่านตลาดทุนได้แล้ว ยังเป็นโอกาสในการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุนในธุรกิจและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพอีกด้วย นอกจากนั้น การที่บีโอไอจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างความยั่งยืน ภายใต้มาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ซึ่งรวมถึงบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการ “JUMP+” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย จะช่วยให้เกิดความสนใจและสร้างความตื่นตัวให้บริษัทจดทะเบียน พัฒนาการดำเนินงานและขับเคลื่อนความยั่งยืน ทั้งด้านธุรกิจ ด้านธรรมาภิบาล และการจัดการก๊าซเรือนกระจก เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องการยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน”
ดังนั้นความร่วมมือระหว่างบีโอไอและตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงไม่ใช่แค่การดึงบริษัทเข้ามาจดทะเบียนเพิ่มเท่านั้น แต่ยังเป็นแผนยุทธศาสตร์การวางรากฐานเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ ที่ผสานทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐและตลาดทุน เพื่อสร้างระบบนิเวศธุรกิจที่จะต้องแข่งขันได้ในระดับโลก