ข่าวความไม่พอใจ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ยให้ต่ำลงอีก ตามแนวทางของทรัมป์ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เพราะตั้งแต่ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งก็แสดงท่าที อยากเห็นดอกเบี้ยต่ำ ไม่พอใจประธานเฟดเช่นนั้นเรื่อยมา แต่มาวันนี้อาจจะไม่ใข่แค่คำขู่ ข่าวการปลดประธานเฟดเริ่มมีมูลหนักขึ้น จนกำลังเป็นเรื่องใหญ่ที่ตลาดเงินตลาดทุนกำลังจับตามอง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวต่อกลุ่มสมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกันว่าเขามีแผนจะปลดประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) นายเจอโรม พาวเวลล์
แม้ทรัมป์จะออกมาปฏิเสธในเวลาต่อมาว่า “เค้ายังไม่มีแผนจะทำ” แต่มีประโยคเด็ดต่อท้ายว่า “แต่ผมก็ไม่ตัดความเป็นไปได้ เว้นแต่ว่าเขาต้องออกเพราะการทุจริต”
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มีข่าวว่าทรัมป์ร่างจดหมายไล่ออก มีการชักชวนเสียงสนับสนุนในทำเนียบขาว และที่สำคัญมากคือ การเปิดประเด็นเรื่องการทุจริตงบประมาณต่อเติมอาคารของเฟด
ทรัมป์ ใช้ประเด็นโครงการปรับปรุงอาคารสำนักงานใหญ่ของเฟดในกรุงวอชิงตัน มูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มาเป็นข้อสงสัยถึง “ความไม่โปร่งใส” โดยกล่าวหาว่าการต่อเติมดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายเกินควรและอาจเข้าข่ายการกระทำผิดทางการเงิน ถึงขั้นมีการเรียกร้องให้ตรวจสอบข้อกล่าวหา “ทุจริต”
ทั้งนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังดำเนินโครงการปรับปรุงใหญ่ และครั้งแรกของอาคารสำนักงานใหญ่ 2 หลังในกรุงวอชิงตัน นับตั้งแต่ก่อสร้างในทศวรรษ 1930 โดย Fed ระบุว่า เป้าหมายของโครงการคือ การลดต้นทุนในระยะยาวผ่านการรวมศูนย์การดำเนินงาน
โครงการนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการ Fed ตั้งแต่ปี 2017 แต่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา งบประมาณโครงการก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยจากเอกสารงบประมาณปี 2025 ของ Fed พบว่า งบประมาณรวมล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มจาก 1.9 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023
สาเหตุของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงแบบก่อสร้างตามข้อเสนอจากหน่วยงานตรวจสอบภายนอก ความคลาดเคลื่อนระหว่างค่าประมาณเดิมกับต้นทุนจริง
บิล พัลต์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารสินเชื่อที่อยู่อาศัยของรัฐบาลกลาง (FHFA) อ้างในการไต่สวนวุฒิสภาว่า พาวเวลล์ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ขณะที่สำนักงานสอบสวนภายในของเฟดก็ได้เริ่มต้นกระบวนการสอบสวนตามคำขอของพาวเวลล์เอง
อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์หลายฝ่ายมองว่า การใช้เรื่องต่อเติมอาคารเป็นเหตุผลเพื่อปลดประธานเฟด เป็นเพียง “ข้ออ้างทางการเมือง” และไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศที่ยึดหลักนิติธรรมอย่างสหรัฐอเมริกา
แม้จะมีข่าวว่าทรัมป์เตรียมร่างจดหมายปลดพาวเวลล์ แต่ในทางกฎหมายแล้ว การกระทำเช่นนี้ “ไม่สามารถทำได้โดยพลการ”
ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารกลางสหรัฐฯ ระบุว่า สมาชิกคณะกรรมการเฟด รวมถึงประธาน สามารถถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ “ด้วยเหตุผล” (for cause) เท่านั้น ซึ่งหมายถึง ต้องมีพฤติกรรมเข้าข่ายละเลยหน้าที่, ไม่มีประสิทธิภาพ, หรือกระทำผิดร้ายแรง ไม่ใช่แค่เพราะประธานาธิบดีไม่เห็นด้วยกับนโยบายดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตามหากทรัมป์ดำเนินการปลดจริง กระบวนการฟ้องร้องจะเริ่มต้นขึ้นทันที เพราะพาวเวลล์สามารถยื่นคำร้องต่อศาลกลางในกรุงวอชิงตันเพื่อขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กลับเข้ารับตำแหน่งระหว่างพิจารณาคดีได้
ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องยื่นเอกสารแสดงเหตุผลต่อศาล และอาจต้องไต่สวนต่อหน้าผู้พิพากษา ซึ่งคำตัดสินเบื้องต้นว่า ควรให้พาวเวลล์กลับเข้าทำหน้าที่หรือไม่ จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโดยตรง
ดังนั้นกรณีนี้อาจยืดเยื้อไปจนถึงศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในท้ายที่สุด เรื่องยากเพราะไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐคนใดพยายามปลดประธานเฟดมาก่อน และยังไม่เคยมีความผิดในลักษณะนี้มาเทียบเคียง
ประเด็นนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัวระหว่างผู้นำประเทศกับหัวหน้าธนาคารกลาง แต่คือการเดิมพันความเชื่อมั่นในระบบการเงินของประเทศและของโลก
นักลงทุนทั่วโลกให้คุณค่ากับความเป็น “อิสระ” ของธนาคารกลาง หากเฟดถูกแทรกแซงทางการเมือง ความน่าเชื่อถือในการควบคุมเงินเฟ้อจะลดลง และความคาดหวังเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ทางการเงินปั่นป่วน
ตัวอย่างของผลกระทบหลังมีรายงานว่า ทรัมป์อาจปลดพาวเวลล์ ดัชนี S&P500 ตกลง 1% พันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีให้ผลตอบแทนพุ่งขึ้น 10 จุด และดัชนีค่าเงินดอลลาร์ดิ่งลง 1.2% ภายในครึ่งชั่วโมง
สิ่งที่น่าคิดคือ แม้ทรัมป์จะหวังให้เฟดลดดอกเบี้ยลงอีก 2-3% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การเปลี่ยนตัวประธานเพียงคนเดียวก็ไม่สามารถบังคับให้ FOMC (คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด) เปลี่ยนนโยบายได้ พูดง่ายๆ จะสั่งให้เค้าลดดอกเบี้ยไม่ได้ เพราะยังคงต้องมีเสียงจากคณะกรรมการรวม 12 คนในการลงมติประชุมอัตราดอกเบี้ยแต่ละครั้ง
ดังนั้น หากเกิดการปลดขึ้นจริง เศรษฐกิจสหรัฐอาจเผชิญความเสี่ยงซ้ำซ้อน ทั้งจากความปั่นป่วนของตลาด ความเชื่อมั่นที่ถดถอย และเงินเฟ้อที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งตอนนี้ผลของภาษีทรัมป์ กำลังส่งสัญญาณไปที่ปัญหาเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าบ้างแล้ว