
วันนี้ราคาทองคำและแร่เงินปรับตัวร่วงลงอย่างรุนแรง หลังจากเพิ่งพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนการเปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลันของตลาดโลหะมีค่า ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงซื้อเชิงเก็งกำไรที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสะดุดลงเมื่อเผชิญแรงกดดันพร้อมกันทั้งจากมาตรการกำกับดูแลในตลาดอนุพันธ์ และความกังวลว่าราคาปรับขึ้นแรงเกินปัจจัยพื้นฐานในระยะสั้น
ด้านตลาดทองคำภายในประเทศ เช้าวันเดียวกันราคาทองปรับตัวผันผวนตามทิศทางตลาดโลกอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อเวลา 10:11 น. สมาคมค้าทองคำรายงานว่าราคาทองคำในประเทศมีการปรับราคาแล้วรวม 5 ครั้ง สะท้อนแรงกดดันจากการอ่อนตัวของราคาทองคำในตลาดโลกและความผันผวนของค่าเงินบาท
ราคาทองคำแท่งมีราคารับซื้ออยู่ที่บาทละ 65,100 บาท และราคาขายออกบาทละ 65,200 บาท ขณะที่ทองรูปพรรณราคารับซื้ออยู่ที่บาทละ 63,793.28 บาท และราคาขายออกที่บาทละ 66,000 บาท ส่วนราคาทองคำในตลาดสปอตเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับประมาณ 4,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงผันผวนสูง หลังตลาดโลกเผชิญแรงขายทำกำไรอย่างหนักในกลุ่มโลหะมีค่า
ความผันผวนดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่แร่เงินถูกยกระดับบทบาทจากสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ไปสู่การเป็น “โลหะอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์” มากขึ้น จากการใช้งานในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์ข้อมูล พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันปัจจัยด้านอุปทาน โดยเฉพาะท่าทีของจีนเกี่ยวกับการจำกัดการส่งออก ยิ่งตอกย้ำภาวะตึงตัวของตลาด ทำให้ราคาแร่เงินอ่อนไหวต่อข่าวและแรงเก็งกำไรเป็นพิเศษ
ในฝั่งของทองคำ ยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ หลังมีสัญญาณความคืบหน้าในกระบวนการสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกับผู้นำยุโรปและองค์การนาโต และมีความเห็นพ้องกันแล้วราว 95% ของกรอบแผนสันติภาพ ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยประธานาธิบดีรัสเซีย ระบุว่า ทรัมป์และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เห็นตรงกันว่า การหยุดยิงชั่วคราวอาจยิ่งทำให้วิกฤตยูเครนยืดเยื้อ ซึ่งท่าทีดังกล่าวลดแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และซ้ำเติมแรงขายในตลาดโลหะมีค่าโดยรวม
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำปรับตัวลดลง 4.5% ลงมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 4,340 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์เพียงเล็กน้อย หลังจากก่อนหน้านี้ราคาพุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแร่เงินร่วงลงอย่างรุนแรงถึง 8.7% นับเป็นการปรับตัวลงรายวันที่หนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564 หลังราคาแร่เงินเพิ่งทะยานแตะระดับ 80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงสั้น ๆ ก่อนจะเผชิญแรงขายถาโถมอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นภาพสะท้อนของการ “เบรกกะทันหัน” ของแนวโน้มขาขึ้นที่ร้อนแรงผิดปกติในช่วงที่ผ่านมา
แรงกดดันสำคัญของแร่เงินของตลาดมาจากการที่ตลาดซื้อขายล่วงหน้าชิคาโก (Chicago Mercantile Exchange: CME) ปรับเพิ่มข้อกำหนดเงินประกัน (Margin Requirements) สำหรับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแร่เงิน ซึ่งเป็นมาตรการที่มักถูกนำมาใช้ในช่วงที่ความผันผวนและการเก็งกำไรในตลาดขยายตัวอย่างรวดเร็ว การปรับเพิ่มมาร์จิ้นดังกล่าวบีบให้นักลงทุนที่ใช้เลเวอเรจในระดับสูงต้องตัดสินใจในทันที ระหว่างการเติมเงินสดเพิ่มเติมเพื่อรักษาสถานะการลงทุน หรือการขายลดพอร์ตเพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์เงินประกัน ส่งผลให้เกิดแรงบังคับขายในวงกว้าง และทำให้บรรยากาศการซื้อขายเข้าสู่ภาวะตึงเครียดตั้งแต่ก่อนเปิดตลาดวันจันทร์
ภายใต้โครงสร้างตลาดเช่นนี้ การปรับฐานของราคาไม่ได้สะท้อนเพียงการขายทำกำไรตามวัฏจักรปกติเท่านั้น หากแต่เป็นผลต่อเนื่องจากลักษณะของตลาดอนุพันธ์ที่พึ่งพาเลเวอเรจสูง เมื่อเงื่อนไขเงินประกันถูกยกระดับขึ้นอย่างฉับพลัน ต้นทุนในการถือครองสถานะก็เพิ่มขึ้นในทันที ทำให้แรงขายกระจุกตัวในช่วงเวลาจำกัด และยิ่งขยายความผันผวนของราคาให้รุนแรงและรวดเร็วกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ
ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน แร่เงินกำลังถูกจับตามองในฐานะจุดตัดของปัญหาอุปทานและอุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในช่วงที่โครงสร้างความต้องการโลหะของโลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จีนซึ่งเป็นผู้ทำเหมืองแร่เงินรายใหญ่อันดับสามของโลก มีแนวโน้มเริ่มจำกัดการส่งออกตั้งแต่เดือนมกราคมนี้ ส่งผลให้ตลาดยิ่งตื่นตัวต่อความเสี่ยงด้านซัพพลาย ในจังหวะที่หลายประเทศกำลังแข่งขันกันจัดหาโลหะสำคัญเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ความร้อนแรงของราคาแร่เงินยังขยายวงไปถึงภาคเทคโนโลยี เมื่ออีลอน มัสก์ ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องดี แร่เงินมีความจำเป็นต่อกระบวนการอุตสาหกรรมจำนวนมาก” สะท้อนความกังวลว่าการปรับขึ้นของราคาที่รวดเร็วอาจกลายเป็นแรงกดดันต่อต้นทุนการผลิตในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องพึ่งพาคุณสมบัติการนำไฟฟ้าและการส่งสัญญาณที่มีประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ แผงโซลาร์เซลล์ ศูนย์ข้อมูล หรือยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งล้วนเป็นหัวใจของเศรษฐกิจยุคใหม่
ข้อมูลจาก Silver Institute ซึ่งเป็นองค์กรการค้าไม่แสวงหากำไร ระบุว่าเกือบ 60% ของการใช้แร่เงินทั่วโลกอยู่ในภาคอุตสาหกรรม ไม่ใช่เพื่อการลงทุนหรือเครื่องประดับเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้แร่เงินยังเป็นโลหะที่นำไฟฟ้าได้ดีที่สุดในบรรดาโลหะทั้งหมด ทำให้เป็นวัตถุดิบสำคัญของแผงโซลาร์เซลล์ แผงวงจรเซิร์ฟเวอร์ในศูนย์ข้อมูล (Data Center Server Boards) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นสามเสาหลักของเศรษฐกิจเทคโนโลยีและพลังงานในทศวรรษนี้
ไมเคิล ดิเรนโซ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Silver Institute ให้สัมภาษณ์กับ Yahoo Finance ว่า แร่เงินมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และระบบการประมวลผลข้อมูล และแทบจะถูกใช้อยู่ใน “ทุกสิ่งที่มีสวิตช์เปิด-ปิด” สะท้อนสถานะของแร่เงินในฐานะโลหะพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ เขายังระบุด้วยว่า ตลาดแร่เงินโลกกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ห้าติดต่อกันของภาวะขาดดุลเชิงโครงสร้าง ซึ่งหมายความว่าอุปสงค์รวมของแร่เงินจะสูงกว่าอุปทานอย่างต่อเนื่องในระดับที่เป็นแนวโน้มระยะยาว ไม่ใช่เพียงความผันผวนชั่วคราวของราคาในบางช่วงเวลา
ขณะเดียวกัน ความกังวลด้านนโยบายก็เพิ่มน้ำหนักให้กับมุมมองดังกล่าว หลังในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แร่เงินถูกบรรจุไว้ในบัญชี “แร่ธาตุสำคัญ” ของสหรัฐฯ (US Critical Minerals List) ซึ่งในนัยเชิงนโยบายอาจเปิดทางไปสู่ความเสี่ยงของมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้า หากประเด็นความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานโลหะสำคัญถูกยกระดับขึ้นเป็นวาระเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐในระยะต่อไป
ในภาพรวมปีนี้ กลุ่มโลหะมีค่าถือว่าโดดเด่นเป็นพิเศษ โดยทองคำพุ่งขึ้น 67% นับตั้งแต่ต้นปี ท่ามกลางแรงซื้อของธนาคารกลางที่แข็งแกร่งและทิศทางค่าเงินดอลลาร์ที่ผ่อนคลายลง ขณะที่แร่เงินซึ่งมีขนาดตลาดเล็กกว่ามากกลับกลายเป็น “ดาวเด่น” ด้วยการปรับขึ้นเกือบ 150% โดยแรงหนุนหลักมาจากการใช้งานเชิงอุตสาหกรรมที่ทำให้ตลาดหันไปโฟกัสปัญหาอุปทานขาดดุลอย่างจริงจัง ในปีเดียวกันนี้ ทองแดงและแพลทินัมก็ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เช่นกัน สะท้อนภาพการไล่ราคาของโลหะที่เกี่ยวข้องกับทั้งการลงทุนและอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความร้อนแรง ยังมีเสียงเตือนจากฝั่ง “บูล” บางรายที่เริ่มกังวลเรื่องการกลับทิศราคา โดยชี้ว่าครั้งล่าสุดที่ทองคำและแร่เงินปรับขึ้นเร็วในลักษณะนี้คือปี 2522 ก่อนที่ราคาจะไปแตะจุดสูงสุดในปี 2523 และตามมาด้วยการปรับฐานรุนแรง
ไมค์ แม็กโกลน นักกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์อาวุโสจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า เมื่อราคาปรับขึ้นจนอยู่ในภาวะ “ตึงตัว” อย่างมาก นักลงทุนจำเป็นต้องเพิ่มระดับความระมัดระวัง โดยสำหรับผู้ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อทองคำมาอย่างยาวนาน สิ่งที่สำคัญที่สุดในจังหวะนี้อาจสรุปได้สั้น ๆ เพียงว่า “ขายทำกำไร”