Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สรุปสาเหตุ ทำไมหุ้น KTC-XPG-BEC ร่วงติดฟลอร์สองวันติด?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

สรุปสาเหตุ ทำไมหุ้น KTC-XPG-BEC ร่วงติดฟลอร์สองวันติด?

24 มิ.ย. 68
14:35 น.
แชร์

วันที่ 24 มิถุนายน 2568 ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายอย่างหนักในหุ้นสามตัวหลัก ได้แก่ XPG, KTC และ BEC ส่งผลให้ราคาหุ้นของทั้งสามบริษัทปรับตัวลดลงแตะระดับฟลอร์ติดต่อกันเป็นวันที่สอง สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันและความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนในวงกว้าง

ในการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ หุ้น XPG หรือ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ปรับตัวลดลง 15.00% ลดลง 0.09 บาท ปิดที่ 0.51 บาท ขณะที่หุ้น BEC หรือ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ลดลง 14.84% ลดลง 0.46 บาท ปิดที่ 2.64 บาท ส่วนหุ้น KTC หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วง 14.41% ลดลง 4.25 บาท ปิดที่ 25.25 บาท ปรับตัวลดลงรวม 27% ภายในเวลาเพียงสองวัน

บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาผู้อ่านไปสำรวจบทวิเคราะห์เบื้องต้นถึงสาเหตุของแรงขายรอบนี้ พร้อมทั้งมองแนวโน้มในอนาคตของหุ้น XPG, KTC และ BEC ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

สาเหตุหลัก: Forced Sell ของผู้ถือหุ้นใหญ่ จุดชนวนแรงขายหุ้นต่อเนื่อง

นักวิเคราะห์ตลาดทุนระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาหุ้น KTC รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้อง เช่น XPG และ BEC ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา มาจากแรงขายบังคับ (Forced Sell) ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากมูลค่าหลักทรัพย์ที่ถูกนำไปวางเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้นลดลงต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด โดยผู้ถือหุ้นไม่สามารถเติมเงินสดหรือวางหลักประกันเพิ่มเติมได้ทันเวลา ส่งผลให้โบรกเกอร์ต้องดำเนินการขายหลักทรัพย์ออกจากพอร์ตทันทีเพื่อควบคุมความเสี่ยง

SETInvestNow อธิบายว่า บัญชีมาร์จิ้นคือบัญชีที่โบรกเกอร์จัดให้สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนในหุ้น โดยนักลงทุนจะใช้เงินทุนของตนเองบางส่วน และอีกส่วนหนึ่งกู้จากโบรกเกอร์ ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์กำหนดสัดส่วนหลักประกันที่ 50% นักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นมูลค่า 100 บาท ต้องใช้เงินตัวเอง 50 บาท และอีก 50 บาทเป็นเงินกู้จากโบรกเกอร์ พร้อมทั้งต้องชำระดอกเบี้ยเงินกู้ตามข้อตกลง

อย่างไรก็ตาม หากราคาหุ้นที่ถูกนำไปวางเป็นหลักประกันปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว จนอัตรามาร์จิ้นต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด นักลงทุนจะต้องรีบเติมหลักประกันหรือวางเงินสดเพิ่มทันที หากไม่สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาที่โบรกเกอร์กำหนด โบรกเกอร์มีสิทธิ์บังคับขายหลักทรัพย์ในพอร์ต (Forced Sell) เพื่อรักษาอัตรามาร์จิ้นให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากการขาดทุนเพิ่มเติม

ปัจจัยที่ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าการลดลงของหุ้นทั้งสามตัวเกิดจากการบังคับขาย คือการที่หุ้นทั้งสามตัวมีสัดส่วนการวางเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้นอยู่ในระดับสูง ซึ่งถือว่าเสี่ยงต่อการถูกบังคับขายหากราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 ระบุรายละเอียดดังนี้

  • KTC: จำนวน 420,204,381 หุ้น คิดเป็น 16.30% ของจำนวนหุ้นที่ซื้อขายได้ทั้งหมด
  • XPG: จำนวน 1,443,799,646 หุ้น คิดเป็น 13.49% ของจำนวนหุ้นที่ซื้อขายได้ทั้งหมด
  • BEC: จำนวน 320,465,634 หุ้น คิดเป็น 16.02% ของจำนวนหุ้นที่ซื้อขายได้ทั้งหมด

สัดส่วนที่สูงดังกล่าวสะท้อนความเปราะบางของโครงสร้างการถือหุ้นในบัญชีมาร์จิ้น และเป็นเหตุผลที่ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าแรงขายที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยงของผู้ถือหุ้นที่ใช้บัญชีมาร์จิ้นเป็นหลัก

นอกจากนี้ ยังพบว่าหุ้น KTC, XPG และ BEC มี ‘ผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดียวกัน’ 2 คน ทำให้หากบัญชีมาร์จิ้นของนักลงทุนคนใดคนหนึ่งมูลค่าต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด หุ้นทั้งสามตัวก็จะถูกบังคับขายในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดแรงขายจนมูลค่าหุ้นร่วงติดฟลอร์อย่างที่เกิดขึ้น

มุมมองโบรกเกอร์: ปัจจัยเฉพาะตัว ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน

ด้วยสัดส่วนการวางเป็นหลักประกันที่สูง และการที่มีนักลงทุนรายใหญ่ถือหุ้นทั้ง 3 หุ้นพร้อมกัน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงเห็นพ้องกันว่า การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานของบริษัท แต่เป็นผลจากแรงขายเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยงของบัญชีมาร์จิ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 

สำหรับ KTC ผลประกอบการในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยแม้ว่าสินเชื่อจะเติบโตได้ในระดับที่ไม่โดดเด่นนัก แต่รายได้รวมยังทรงตัว ขณะที่การติดตามและทวงถามหนี้ยังคงดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โบรกเกอร์หลายแห่งแนะนำให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแรงขายจาก Forced Sell ซึ่งหากคลี่คลายลง อาจเป็นโอกาสที่ราคาหุ้นจะทยอยฟื้นตัวในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากความเสี่ยงจากการบังคับขายยังคงอยู่

นักวิเคราะห์ประเมินว่า แรงขายที่เกิดจาก Forced Sell ในหุ้น KTC, XPG และ BEC อาจยังไม่สิ้นสุดภายใน 2-3 วันข้างหน้า เนื่องจากยังมีปริมาณหุ้นเสนอขาย (Offer) ในกระดานอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องที่ประมาณ 100-200 ล้านหุ้นต่อวัน ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่กล้าเข้าซื้อ และเลือกที่จะรอดูทิศทาง (Wait and See) จนกว่าสัญญาณแรงขายจะคลี่คลายชัดเจน

สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นในกลุ่มนี้ ควรติดตามอย่างใกล้ชิดทั้ง ปริมาณหุ้นในบัญชีมาร์จิ้น และ พฤติกรรมของผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้ทิศทางราคาหุ้นในระยะสั้น

ยืนยันจาก IR: ปัจจัยพื้นฐาน KTC ยังแข็งแกร่ง

สำหรับความเห็นจากบริษัท บริษัทหลักทรัพย์แลนด์แอนด์เฮาส์ เปิดเผยในบทวิเคราะห์ว่า จากการสอบถามเพิ่มเติมไปยังฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ (IR) ของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ได้รับการยืนยันว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (5M68) ยังคงเป็นไปตามปกติ แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะไม่เอื้ออำนวย แต่ KTC ยังคงสามารถเติบโตด้านสินเชื่อในระดับที่เหมาะสม รายได้รวมยังทรงตัว ขณะที่กระบวนการติดตามและทวงถามหนี้ยังคงดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม

IR KTC ยืนยันว่า การปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงของราคาหุ้นในครั้งนี้ไม่น่าจะเกิดจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่เปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งระบุว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ ธนาคารกรุงไทย (KTB) ยังคงถือหุ้นในสัดส่วน 49.29% และไม่มีแผนจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงแต่อย่างใด

บริษัทหลักทรัพย์แลนด์แอนด์เฮาส์ จึงมีความเห็นว่า แรงขายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มีโอกาสสูงที่จะเป็นผลมาจากกระบวนการ Forced Sell ตามที่เป็นกระแสข่าวในตลาด โดยเชื่อว่า หากผู้ถือหุ้นที่นำหุ้น KTC ไปวางเป็นหลักประกัน ไม่สามารถจัดหาเงินสดมาชำระหนี้หรือวางหลักประกันเพิ่มได้ทันตามกำหนด อาจทำให้เกิดการบังคับขายเพิ่มเติมในระยะสั้น

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประเมินว่า ปัจจัยพื้นฐานของ KTC ไม่เปลี่ยนแปลง และบริษัทยังมีศักยภาพในการทำกำไรสูงสุดใหม่ (New High) ได้อย่างต่อเนื่องภายในปีนี้ โดยให้ราคาเป้าหมายของ KTC ที่ระดับ 42 บาทต่อหุ้น

โดยสรุป เหตุการณ์หุ้น XPG, KTC และ BEC ร่วงติดฟลอร์ต่อเนื่องในรอบนี้ เป็นผลจากแรงขายเฉพาะตัวของผู้ถือหุ้นบางรายที่ถูกบังคับขายในบัญชีมาร์จิ้น ไม่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานในธุรกิจ

พื้นฐานของ KTC ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างธนาคารกรุงไทยสนับสนุน และบริษัทยังมีศักยภาพทำกำไรสูงในระยะยาว นักลงทุนจึงควรรอให้แรงขายเฉพาะกิจหมดไปก่อน เพื่อพิจารณาเข้าซื้อในจังหวะที่เหมาะสมต่อไป


แชร์
สรุปสาเหตุ ทำไมหุ้น KTC-XPG-BEC ร่วงติดฟลอร์สองวันติด?