เก็บเงินหรือลงทุนเพื่อสะสมเป็นความมั่งคั่ง หรือเพื่อเป้าหมายในอนาคต ใครๆ ก็อยากทำและเชื่อว่าหลายคนเองก็กำลังทำอยู่ แต่ถ้าเก็บแล้วให้ดูดี มีคลาส ด้วยจำนวนเงินที่เก็บเท่าเดิมหรือไม่ต้องเก็บมากจนเกินความสามารถตนเองก็ทำได้ไม่ยาก ด้วย 3 Step เก็บเงินให้ชีวิตดูดีแบบติดแกลม
Dollar-Cost Averaging หรือเรียกสั้นๆ ว่า DCA คำศัพท์การลงทุนที่คุ้นหูหลายคน พอใครมาถามว่าทุกวันนี้เก็บอย่างไร หรือมีโอกาสได้แชร์หรือพูดคุยกับเพื่อนๆ แค่พูดว่า “ทุกวันนี้ DCA กองทุน xxx ทุกเดือนอยู่” แค่นี้ก็ดูดีในสายตาคนฟังแล้ว ไม่ว่ากองทุน xxx ที่ว่าจะเป็นกองทุนอะไร ใช่กองทุนที่น่าลงทุนหรือไม่ก็ตาม
การลงทุน DCA กองทุนใดๆ ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะ Application ของธนาคารหรือ บลจ. แทบทุกที่ มีฟังก์ชั่นนี้ให้เลือกใช้ เพียงแค่แต่ละที่อาจใช้ชื่อฟังก์ชั่นต่างกัน เช่น DCA, ลงทุนต่อเนื่อง, แผนลงทุนอัตโนมัติ ฯลฯ โดยเป็นการระบุจำนวนเงินและวันที่ ที่จะลงทุนทุกๆ เดือน โดยหักจากบัญชีเงินฝาก หรือบัตรเครดิต (กรณีกองทุนลดหย่อนภาษี)
การลงทุนแบบ DCA ถือเป็นการสร้างวินัยการเก็บเงินทุกเดือน เพื่อสะสมไว้เป็นเงินเก็บและความมั่งคั่งในอนาคต ไม่ว่ากองทุนที่ว่าจะเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ มูลค่าไม่ค่อยผันผวน โอกาสน้อยมากที่จะขาดทุนเกิน 1-6 เดือน อย่างกองทุนตลาดเงิน แต่ผลตอบแทนมักสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป รวมไปถึงกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่าง กองทุนผสม กองทุนหุ้น ฯลฯ ด้วย อีกทั้งหากเป็นกองทุนความเสี่ยงปานกลาง-สูง อย่างกองทุนผสม กองทุนหุ้น ฯลฯ ยังเป็นการเฉลี่ยต้นทุน และช่วยตัดอารมณ์หรือความวิตกกังวลในการลงทุนแต่ละครั้งลง
กองทุนลดหย่อนภาษี อย่างกองทุน Thai ESG และกองทุน RMF ผู้ที่ลงทุนควรเป็นคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษีเท่านั้น โดยต้องถือและลงทุนระยะยาวตามเงื่อนไข ดังนั้นถ้าบอกใครว่าตนเองมีลงทุนในกองทุน Thai ESG หรือ RMF อยู่ มักจะถูกมองว่าเป็นคนที่มีรายได้สูง จนต้องมองหาทางเลือกลดหย่อนภาษี และเป็นคนมีเงินเก็บอยู่ไม่น้อย เพราะสามารถแบ่งเงินไปลงทุนระยะยาวในกองทุน Thai ESG หรือ RMF ได้
สำหรับคนที่รายได้และฐานภาษีต่ำ เช่น 5%-10% อาจคิดว่าการลงทุนในกองทุน Thai ESG หรือ RMF ที่ต้องถือหน่วยลงทุน 5 ปี หรือลงทุนต่อเนื่องจนถึงายุ 55 ปี ตามลำดับ ไม่คุ้มกับเงินภาษีที่ได้คืน แต่หากมองว่าเงินส่วนนี้คือการเก็บเงินหรือลงทุน และเงินส่วนนี้ตั้งใจลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว โดยผลตอบแทนขึ้นกับสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุนเหมือนกับกองทุนรวมทั่วไป ส่วนเงินคืนภาษีเป็นเพียงผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ดังนั้นแม้ว่าฐานภาษีจะอยู่ที่เพียง 5% หรือเงินเดือนประมาณ 27,000 – 39,000 บาทต่อเดือน ก็สามารถเก็บเงินโดยลงทุนกองทุน Thai ESG หรือ RMF ได้ เพียงแค่ต้องเข้าใจและยอมรับเงื่อนไขการลงทุนได้ โดยสามารถศึกษาเงื่อนไขการลงทุนได้ที่บทความ “กองทุนลดหย่อนภาษี ตัวไหนดี และวิธีเลือกกองทุนลดหย่อนภาษีที่เหมาะกับเรา” https://www.amarintv.com/spotlight/finance/508299
ส่วนใครที่กังวลกับความเสี่ยงการลงทุน กองทุน Thai ESG หรือ RMF ก็มีกองทุนตราสารหนี้ให้เลือกลงทุน โดยลักษณะของกองทุนตราสารหนี้ มูลค่ามักมีความผันผวนต่ำ แม้มีบางช่วงที่ขาดทุนบ้าง แต่หากถือได้ 1 -12 เดือน หรือ 1-3 ปีขึ้นไป มูลค่าก็มักกลับมาเท่าทุนหรือกำไรได้ ขึ้นอยู่กับอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่กองทุนนั้นลงทุนอยู่ ซึ่งจากข้อมูล Morningstar Thailand ณ 6 มิ.ย. 68 พบว่าประเทศไทยมี กองทุน Thai ESG ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ (Mid/Long Term Bond) จำนวน 11 กองทุน (จาก Thai ESG ทั้งหมด 53 กองทุน) และกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ (RMFFIX) จำนวนมากถึง 56 กองทุน (จาก RMF ทั้งหมด 377 กองทุน)
Wealth Privilege หรือสิทธิประโยชน์สำหรับผู้มีสินทรัพย์สูงกับธนาคาร เช่น มีสิทธิถือบัตรเครดิตที่มีหน้าบัตรต่างจากลูกค้าทั่วไป ฯลฯ ซึ่งมีอยู่หลายระดับ โดย ณ ปัจจุบันมีหลายธนาคารที่มี Wealth Privilege สำหรับผู้มีสินทรัพย์กับธนาคารนั้น 1 ล้าน หรือ 2 ล้านบาทขึ้นไป โดยสินทรัพย์ที่ว่า ธนาคารส่วนใหญ่มักนับรวมเงินฝากประจำ กองทุน ซึ่งรวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง Thai ESG และ RMF ด้วย
ดังนั้นการตั้งเป้าหมายมีเงินล้านแรก โดยทยอยสะสมเงินลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี หรือกองทุนรวมทั่วไป ในธนาคารแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นหลัก ก็ช่วยให้นอกจากมีเงินเก็บหลักล้านแล้ว ยังได้ถือบัตร Wealth Privilege ไว้อวดเพื่อน หรือใช้ออกงานสังคมได้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีปีละ 300,000 บาท (เฉลี่ยเดือนละ 25,000 บาท) ที่เป็นกองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น เพื่อคาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 5%-7%ต่อปี กับธนาคารแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นหลัก ก็มีโอกาสมีเงินลงทุนจำนวน 2 ล้านบาทได้ ภายในเวลา 6 ปี พร้อมกับได้สิทธิถือบัตร Wealth Privilege ด้วย หรือสำหรับใครที่เก็บเงินหรือลงทุนได้น้อยกว่านี้ ก็ทยอยลงทุนเท่าที่สามารถลงทุนได้ แล้วเมื่อรายได้สูงขึ้นค่อยทยอยเพิ่มการลงทุนภายหลังได้ แม้ไม่ได้ Privilege ในระยะเวลาอันใกล้ แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นตั้งเป้าหมายเงินล้านได้
ชีวิตติดแกลม วิถีชีวิตในกระแสคนยุคใหม่ในปัจจุบัน เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้หลายคนต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องการเงิน เพราะถ้าไม่เริ่มสะสมและลงทุนตั้งแต่วันนี้ ชีวิตอาจไม่สามารถติดแกลมได้ไปยาวๆ โดยเฉพาะในวันที่ต้องเริ่มมีภาระดูแลครอบครัว หรือเริ่มมีหนี้จากการซื้อบ้านซื้อรถยนต์เป็นของตนเอง
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”, “ทำความเข้าเงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและผลกระทบหากทำผิดเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุน”
นักวางแผนการเงิน CFP