การรุกคืบของรถยนต์ค่ายจีนในอุตสาหกรรมรถยนต์โลกเร่งตัวขึ้น บรรดาค่ายรถยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นกำลังกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
จากการวิเคราะห์ข้อมูลยอดขายและจดทะเบียนรถยนต์โดย Bloomberg พบว่า ระหว่างปี 2019 ถึง 2024 ค่ายรถญี่ปุ่นสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดเมื่อเทียบกับค่ายรถอื่น ๆ ในหลายประเทศ ได้แก่ จีน สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งผู้บริโภคเคยภักดีต่อแบรนด์ญี่ปุ่นอย่างเหนียวแน่น แม้แต่ในอินโดนีเซียเมื่อปี 2019 รถยนต์แทบทุกคันมาจากญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันแบรนด์จีนเริ่มแทรกตัวเข้ามาได้มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยและสิงคโปร์ ซึ่งส่วนแบ่งตลาดของรถญี่ปุ่นลดลงเหลือเพียง 35% จากระดับกว่า 50% ในปี 2019
การเสียสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในเอเชียอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะถดถอยสำหรับยอดขายในยุโรปและสหรัฐฯด้วย แม้ขณะนี้ผู้ผลิตรถจีนจะยังไม่สามารถเจาะตลาดเหล่านั้นได้มากนัก เนื่องจากถูกตั้งกำแพงภาษีที่สูง
จุดอ่อนสำคัญของญี่ปุ่นคือการปรับตัวเข้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ล่าช้า ซึ่งอาจส่งผลรุนแรงในระยะยาว เพราะวันนี้ชัยชนะในอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังถูกตัดสินด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ล้ำสมัยและซอฟต์แวร์อัจฉริยะ
Toyota ยังไม่ถอย และสิ่งที่ยังช่วยให้ Toyota ยืนหยัดในภูมิภาคนี้ได้ คือกำลังการผลิตในประเทศอาเซียน โดยเฉพาะรถยนต์เบนซินเครื่องยนต์ใหญ่ ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้บริโภคท้องถิ่น ประเทศไทยและอินโดนีเซียรวมกัน คิดเป็นเกือบ 10% ของยอดการผลิตทั่วโลกของ Toyota ที่อยู่ราว 11 ล้านคันในปี 2023 ความแข็งแกร่งด้านการผลิตในภูมิภาคนี้ ยังคงเป็นแต้มต่อสำคัญของผู้ผลิตรถยนต์เบอร์หนึ่งของโลกอย่าง Toyota
SPOTLIGHT เปรียบเทียบมูลค่าของแบรนด์รถยนต์จาก 2 ประเทศคือ จีนและญี่ปุ่น มาดูกันว่า แบรนด์ไหนใหญ่กว่ากันในตอนนี้ แล้วมารอดูกันว่า อนาคตของรถยนต์จากทั้ง 2 ประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปอีกแค่ไหน
รายได้ (ปี 2024): 1,660,000 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 107,400 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 5,760,000 ล้านบาท
รายได้ (ปี 2024): 3,530,000 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 183,000 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 5,060,000 ล้านบาท
รายได้ (ปี 2024): 659,000 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 27,000 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 994,000 ล้านบาท
รายได้ (ปี 2024): 656,000 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 36,500 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 980,000 ล้านบาท
รายได้ (ปี 2024): 2,850,000 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 7,600 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 809,000 ล้านบาท
รายได้ (ปี 2024): 906,000 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 58,000 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 755,000 ล้านบาท
รายได้ (ปี 2024): 10,230,000 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 1,120,000 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 7,990,000 ล้านบาท
รายได้ (ปี 2024): 20,430,000 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 1,110,000 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 1,380,000 ล้านบาท
รายได้ (ปี 2024): 1,220,000 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 60,700 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 732,000 ล้านบาท
รายได้ (ปี 2024): 801,000 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 8,000 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 416,000 ล้านบาท
รายได้ (ปี 2024): 768,400 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 40,000 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 300,000 ล้านบาท
รายได้ (ปี 2024): 2,880,000 ล้านบาท
กำไร (ปี 2024): 96,800 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท (ปี 2024): 280,000 ล้านบาท
ที่มา: companiesmarketcap.com, yahoo.finance.com , Bloomberg