ข่าวเศรษฐกิจ

UN เตือน"ข้าว" จะแพงเป็นรายต่อไป! จับตา "ไทย-เวียดนาม" ขึ้นราคาส่งออก

13 มิ.ย. 65
UN เตือน"ข้าว" จะแพงเป็นรายต่อไป! จับตา "ไทย-เวียดนาม" ขึ้นราคาส่งออก

ปุ๋ยแพง น้ำมันปาล์มแพง ธัญพืชแพง ตัวต่อไปคือ "ข้าวแพง" ยูเอ็นเตือนวิกฤตอาหารโลกตัวต่อไปคือ "ข้าว" ราคาพุ่ง 5 เดือนติด ทำสถิติสูงสุดรอบ 1 ปี จับตา 2 มหาอำนาจ "ไทย-เวียดนาม" ขึ้นราคาส่งออก


ตลอดช่วงหลายเดือนมานี้ คนทั่วโลกต่างเผชิญชะตากรรมเดียวกันเรื่อง "ของแพง" เพราะราคาน้ำมันที่ถีบตัวขึ้นไปมากกว่า 120 ดอลลาร์ และราคาปุ๋ยที่พุ่งทะยานขึ้นมาก ทำให้สินค้าเสำคัญส่วนใหญ่แพงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม "อาหาร"


เพราะนอกจากต้นทุนวัตถุดิบจะแพงขึ้นแล้ว หลายประเทศยังเริ่มกักตุนอาหารโดยใช้มาตรการห้ามส่งออกสินค้าเกษตร เช่น อินโดนีเซีย ห้ามส่งออกน้ำมันปาล์ม, อินเดีย ห้ามส่งออกข้าวสาลีและน้ำตาล, มาเลเซีย จำกัดการส่งออกไก่ และอีกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก ที่ทยอยกักตุนอาหารตามมาเรื่อยๆ


ล่าสุด สำนักงานอาหารและเกษตรของสหประชาชาติ (FAO) ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า "ข้าว" กำลังจะเป็นอาหารตัวต่อไปที่แพงขึ้น

 

ราคาข้าวแพงสุดทุบสถิติรอบ 12 เดือน


จากข้อมูลดัชนีราคาข้าว Food Rice Price Index ของ FAO พบว่า ราคาข้าวในตลาดโลกเดือน พ.ค. พุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 12 เดือน และยังเป็นการปรับขึ้น 5 เดือนติดต่อกันแล้ว


ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แม้ผลผลิตข้าวยังคงอุดมสมบูรณ์ แต่ราคาข้าวสาลีที่พุ่งสูงขึ้นและต้นทุนการทำเกษตรที่เพิ่มขึ้น ทำให้ยังต้องจับตาดูราคาข้าวต่อไป


นางโซนัล วาร์มา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโนมูระ กล่าวว่า จำเป็นต้องจับตาดูราคาข้าวต่อไปเนื่องจากราคาข้าวสาลีที่พุ่งสูงขึ้นอาจนำไปสู่การใช้ข้าวทดแทน ทำให้อุปสงค์ข้าวเพิ่มขึ้นใน ขณะที่สต็อกที่มีอยู่ลดลง


อย่างไรก็ตาม นางวาร์มายืนยันว่า ความเสี่ยงที่มีต่อราคาข้าวนั้นยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากข้าวทั่วโลกมีเพียงพอ และการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวจากอินเดียในฤดูร้อนนี้คาดว่าจะได้ผลดี

istock-671580298

 

จับตา "ไทย-เวียดนาม" ขึ้นราคาข้าว


อย่างไรก็ดี บรรดาผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่วางใจเรื่องราคาข้าว โดยสำนักข่าว Reuters เพิ่งรายงานว่า "ประเทศไทยและเวียดนาม" ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาตกลงกันเรื่องขึ้นราคาส่งออกข้าว โดยนายเจิ่น แทงห์ นาม (Tran Thanh Nam) รัฐมนตรีเกษตรของเวียดนาม ได้เดินทางเยือนประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมีการหารือกรอบความร่วมมือในเรื่องนี้ด้วย ขณะที่บริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ 4 ราย ก็เปิดเผยว่า ผู้ค้าข้าวกำลังซื้อข้าวจากอินเดียเพิ่มขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์มานี้


เดวิด ลาบอร์ด นักวิจัยอาวุโสของสถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ เปิดเผยกับ CNBC ว่า ตอนนี้กำลังน่าเป็นห่วงว่า อินเดีย อาจจะกักตุนข้าวเป็นสินค้าตัวต่อไป ถัดจากข้าวสาลีและน้ำตาล


หากเป็นเช่นนั้นจริงก็จะเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะอินเดียกับจีนนั้นถือเป็น 2 ประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่เวียดนามเป็นอันดับ 5 และประเทศไทยเป็นอันดับ 6


แต่หากจัดอันดับในแง่ "การส่งออก" แล้ว ประเทศไทยจะถือเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวเบอร์ 2 ของโลก และเวียดนามตามมาติดๆ เป็นเบอร์ 3 โดยทั้งสองประเทศมีสัดส่วนการส่งออกรวมกัน 1 ใน 4 ของตลาดโลก


ในขณะที่อินเดียเป็นผู้ส่งออกเบอร์ 1 มีสัดส่วนประมาณ 40% ส่วนจีนนั้นแม้จะเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ แต่ผลผลิตที่ได้จะขายเพื่อบริโภคภายในประเทศมากกว่า จีนจึงเป็นผู้นำเข้าข้าวไม่ใช่ผู้ส่งออก


อย่างไรก็ตาม กรณีของข้าวนั้นต่างไปจากสินค้าเกษตรตัวอื่นๆ ที่มีการกักตุนห้ามส่งออก เพราะในกรณีที่มีผลผลิตจำนวนมาก ไม่ได้เกิดภาวะขาดแคลน ประเทศผู้ส่งออกน่าจะยิ่งกระตุ้นการส่งออกในช่วงที่ข้าวราคาแพงมากกว่าจะกักตุน และยังเป็นการช่วยชาวนาในประเทศอีกด้วย


ทางสถาบันยังได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจด้วยว่า แม้ราคาข้าวในตลาดโลกจะพุ่งขึ้น แต่ "ชาวนา" กลับไม่รู้สึกว่ารวยขึ้นหรือได้อานิสงส์อะไรมากนัก เพราะเจอเรื่องต้นทุนการผลูกข้าวที่พุ่งขึ้นแบบทุกทิศทุกทาง เช่น ราคาปุ่ย


ด้านนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวกับ Bloomberg ว่า การจะกำหนดราคาในตลาดโลกไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไทยและเวียดนามไม่ใช่แค่ 2 ประเทศที่ส่งออกข้าว และยังมีเรื่องของคุณภาพข้าวที่ต้องรีบขายหลังเก็บเกี่ยว เพื่อคงคุณภาพและราคาเอาไว้ให้ได้ด้วย ดังนั้น สิ่งที่ไทยร่วมมือกับเวียดนามจึงควรเป็นเรื่องการพัฒนาการผลิตและการแลกเปลี่ยนโนว์ฮาวระหว่างกันมากกว่า

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT