โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมพิจารณาลดภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนบางส่วน เพื่อที่จะลดปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น หลังตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้นเป็น 8.3% ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบ 40 ปี
ความพยายามที่จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อครั้งนี้ สาเหตุสำคัญมาจากหลากหลายประเด็นทั้งเรื่อง ค่าแรงที่สูงขึ้น ปัญหา Supply Chain การบุกยูเครนของรัสเซีย รวมถึงมาตรการล็อกดาวน์ในจีน โดยก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกันว่าสหรัฐฯ นั้นควรที่จะปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลงมาหรือไม่
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา เจเน็ต เยเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าควรจะมีการปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน โดยมุมมองของเธอมองว่าการปรับลดภาษีนำเข้าจากจีนอาจไม่ใช่จุดเปลี่ยนสำคัญในการลดเงินเฟ้อให้ต่ำลงมา แต่การปรับลดภาษีนี้จะช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ดังกล่าวได้
สำหรับภาษีการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนนั้นทำในสมัยของ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมองว่ารัฐบาลจีนได้อุดนหนุนรัฐวิสาหกิจจีน ทำให้มีสินค้าราคาถูกออกมาตลาดมากเกินไป ส่งผลทำให้ผู้ผลิตภาคเอกชนของสหรัฐฯ ไม่สามารถที่จะแข่งขันในการผลิตสินค้าได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงเรื่องการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากเอกชนสหรัฐฯ จึงทำให้สหรัฐอเมริกาตอบโต้ด้วยมาตรการดังกล่าว
แต่มุมมองของการปรับลดภาษีนั้นอาจไม่สอดคล้องกับมุมมองของ แคเธอรีน ไท ผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ที่มีมุมมองว่าจะต้องมองเรื่องมาตรการดังกล่าวในมุมยุทธศาสตร์ และมองเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนในเรื่องต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปัญหาระยะสั้น กลาง ยาว
สถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศแห่งปีเตอร์สัน วิเคราะห์ว่าถ้าหากมีการตัดภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนลงแล้ว จะทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงได้ถึง 797 ดอลลาร์สหรัฐต่อครัวเรือน หรือประมาณ 1.3 จุดเปอร์เซ็นต์ (Percentage Points)