นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ได้ประกาศความมุ่งมั่นในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก ด้วยการเปิดตัวโครงการ "Ignite Finance" ซึ่งเป็นโครงการที่จะปฏิวัติระบบการเงินของประเทศไทยอย่างครบวงจร โครงการนี้จะมุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย และการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินสำหรับประชาชนทุกคน
เมื่อเร็วๆนี้ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เปิดตัวโครงการ "Ignite Finance" ณ กระทรวงการคลัง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก โครงการนี้มุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ และส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึงสำหรับประชาชนชาวไทย โดยมีบริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop service) และการบริหารเงินทุนที่มีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญในการดึงดูดเงินทุนและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก
โครงการ "Ignite Finance: Thailand’s Vision for a Global Financial Hub" จัดขึ้นโดยกระทรวงการคลัง ภายใต้วิสัยทัศน์ "Ignite Thailand" ของนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของ 8 อุตสาหกรรมหลัก โดยมีบริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop service) และการบริหารเงินทุนที่มีประสิทธิภาพเป็นกลไกสำคัญในการดึงดูดเงินทุนและบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถจากทั่วโลก เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงสรุปสาระสำคัญจากการแถลงข่าวของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งได้กล่าวถึงบทบาทอันยาวนานของกระทรวงการคลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตลอดระยะเวลา 149 ปีที่ผ่านมา พร้อมยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความมั่นคงและทันสมัย เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก
ในส่วนของนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้นำเสนอวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ "Ignite Finance" ที่มุ่งเน้นการปฏิรูปกฎหมายและสิทธิประโยชน์ เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ทางการเงินที่เอื้อต่อการลงทุนและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราที่เหมาะสม โดยมีเป้าหมายในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเงินโลก (Thailand Financial Center) ที่เน้น 5 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และธุรกิจประกันภัย
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้ร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการออกประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อส่งเสริมการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) และจัดตั้งสถาบันค้ำประกันสินเชื่อแห่งชาติ (NaCGA) เพื่อเพิ่มการแข่งขันและขยายโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนและผู้ประกอบการ SMEs
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศไทย จากภาคการผลิตไปสู่ภาคบริการที่มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการเงิน การลงทุน และการธนาคาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้และทักษะขั้นสูง นายกรัฐมนตรีได้ชี้ให้เห็นว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะมีความแข็งแกร่งจากการเติบโตของภาคการผลิตและการท่องเที่ยว แต่การพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็ว การเปิดรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่มีมูลค่าสูงเข้ามาในประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงกรณีศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้านที่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดนักลงทุน ด้วยการปรับปรุงกฎหมายให้เอื้อต่อการทำธุรกิจ พร้อมทั้งสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ การสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถ และการเจรจาธุรกิจ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ประเทศไทยมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาตรฐานระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน โรงแรม ร้านอาหาร โรงพยาบาล โรงเรียนนานาชาติ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดนักลงทุน คือ การมีกฎหมายที่ชัดเจนและสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ
นายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นว่า การดำเนินการตามกลยุทธ์ที่รัฐมนตรีได้นำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้ง One-stop service การให้สิทธิประโยชน์ และการสร้างความชัดเจนในการบริหารเงินทุน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยเติบโตเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคได้ นอกจากนี้ การผลักดันนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เช่น Virtual Bank และการค้ำประกันสินเชื่อ จะช่วยสร้างโอกาสในการเข้าถึงระบบการเงินให้กับประชาชนทุกคน นำไปสู่การลงทุน การสร้างงาน และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ระบบนิเวศของศูนย์กลางทางการเงินไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภาคธนาคาร การลงทุน และหลักทรัพย์เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงภาคบริการที่ปรึกษา (Professional Service) ที่หลากหลาย เช่น ที่ปรึกษากลยุทธ์ กฎหมาย เทคโนโลยี และการลงทุน ซึ่งจะเติบโตควบคู่กันไป การเติบโตของภาคบริการเหล่านี้จะไม่เพียงแต่สร้างโอกาสการจ้างงานให้กับบุคลากรไทยในบริษัทชั้นนำระดับโลก แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมโยงภาคธุรกิจไทยสู่ตลาดโลก ผ่านองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเครือข่ายของบริษัทที่ปรึกษาเหล่านี้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำว่า การเป็นศูนย์กลางทางการเงินไม่ได้เป็นเพียงการสร้างประโยชน์ให้กับธนาคารและสถาบันการเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ระดับชาติในการดึงดูดเงินทุน บุคลากรที่มีความสามารถ และองค์ความรู้เข้าสู่ประเทศ เพื่อสร้างคุณูปการต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับโลก นโยบายนี้เปรียบเสมือนการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจโดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐจำนวนมาก แต่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล
พิธีเปิดโครงการ Ignite Finance ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการดึงดูดเงินทุนเข้าสู่ประเทศไทย โดยมีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และปลัดกระทรวงการคลัง ร่วมเป็นสักขีพยานในการหยอดเหรียญลงบนแผนที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการนำเงินทุนจากนานาประเทศเข้าสู่ประเทศไทยผ่านโครงการนี้ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญในระดับโลก
ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุม โครงการ Ignite Finance จึงเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก การปฏิรูปกฎหมาย การสร้างแรงจูงใจ และการพัฒนาระบบนิเวศที่ครบวงจร จะเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดเงินทุนและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก นำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน