
สำนักข่าวอัลจาซีรารายงานคาดการณ์สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2026 จะเป็นเช่นไร เนื่องจากผลงานต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ค่อนข้างซับซ้อนและบางอย่างก็ไม่ได้ดีนัก
ปี 2025 ที่ผ่านมา ยังเป็นปีแรกที่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีในสมัยที่สอง และเขาก็เริ่มต้นด้วยการประกาศภาษีตอบโต้ และใช้มาตรการปกป้องทางการค้าทันที ซึ่งนั่นสร้างความปั่นป่วนให้แก่ตลาดโลก รวมถึงตลาดสหรัฐฯ เอง
เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ได้กล่าวยกย่องตัวเลขทางเศรษฐกิจของเขา โดยยืนยันว่า สหรัฐฯ กำลังเกิดการ “บูมทางเศรษฐกิจ” ชนิดที่โลกไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้แสดงออกถึงสัญญาณความเข้มแข็งและอ่อนแอที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่
หลังจากเศรษฐกิจขยายตัวเพียงเล็กน้อยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 การขยายของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ กลับทำผลงานได้ดีเกินคาดในไตรมาสเดือนกรกฎาคม–กันยายน โดยขยายตัวในอัตรา 4.3% ต่อปี ถือเป็นผลงานที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบสองปี และสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ
แม้ตัวเลขการเติบโตของสหรัฐฯ จะดูแข็งแกร่ง แต่แรงขับเคลื่อนหลักมาจากการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีไม่กี่ราย อาทิ Microsoft, Amazon และ Alphabet
แคมป์เบล ฮาร์วีย์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยดุ๊ก มองว่า ปี 2026 อาจเป็นช่วงเวลาที่ AI และเทคโนโลยีการเงินแบบกระจายศูนย์เริ่มสร้างผลเชิงบวกต่อผลิตภาพอย่างเป็นรูปธรรม
แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะดูแข็งแกร่งจากตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ชาวอเมริกันจำนวนมากกลับรู้สึกไม่พอใจกับสถานะทางการเงินของตนเอง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนอยู่ที่ 53.3 ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังใกล้เคียงกับระดับ 50 ในเดือนมิถุนายน 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคชาวอเมริกันยังคงเดินหน้าใช้จ่ายต่อเนื่อง โดยการใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัว 3.5% ในไตรมาสเดือนกรกฎาคม–กันยายน ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2024
แนวโน้มการใช้จ่ายดังกล่าวยังไม่แสดงสัญญาณชะลอตัว รายงานประจำปีของมาสเตอร์การ์ดเกี่ยวกับฤดูกาลจับจ่ายช่วงคริสต์มาส ระบุว่า ยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน
นักวิเคราะห์ชี้ว่า สาเหตุของความสวนทางระหว่างการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นกับความเชื่อมั่นที่ซบเซา มาจากความแตกต่างของฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มผู้มีรายได้สูงกับประชาชนทั่วไป
ด้านแคมป์เบล ฮาร์วีย์ นักเศรษฐศาสตร์ ให้คะแนนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ 6 จาก 10 โดยระบุว่า “ไตรมาสที่สามแสดงให้เห็นว่า การเติบโตที่สูงกว่านั้นเป็นไปได้ ผมคิดว่าหลายคนมองโลกในแง่ร้ายเกินไป เราจำเป็นต้องมีความทะเยอทะยานมากกว่านี้”
ขณะที่รอล์ฟ เจ. แลงฮัมเมอร์ นักวิจัยจากสถาบันเศรษฐกิจโลกเมืองคีล ประเทศเยอรมนี ให้คะแนนเศรษฐกิจสหรัฐฯ “อย่างดีที่สุด” ที่ระดับ 6 คะแนน เช่นกัน โดยชี้ว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เคยคาดการณ์อัตราการเติบโตไว้ที่ 2.7% ในช่วงต้นสมัยการดำรงตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันลดลงอย่างเห็นได้ชัด เหลือเพียงราว 2% เท่านั้น
หลังเผชิญความผันผวนอย่างหนักในช่วงต้นปี จากการประกาศและทบทวนนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวและปิดฉากปี 2025 ในทิศทางบวก
ดัชนีมาตรฐาน S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 18% ตลอดทั้งปี สูงกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยรายปีในระยะยาวที่อยู่ราว 10.5% อย่างชัดเจน สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่กลับมาแข็งแกร่ง แม้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายการค้าและความไม่แน่นอนทางการเมืองก็ตาม
แม้จะมีความกังวลว่านโยบายตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์ จะเป็นปัจจัยเร่งเงินเฟ้อ แต่ระดับราคาสินค้าในสหรัฐฯ กลับเพิ่มขึ้นในอัตราปานกลาง แม้จะสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
อัตราเงินเฟ้อรายปีในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 2.7% ลดลงจาก 3% ในเดือนกันยายน ขณะที่หากเทียบกับจุดสูงสุดล่าสุดที่ 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2022 เงินเฟ้อถือว่าชะลอลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันจำนวนมากยังคงรู้สึกถึงแรงกดดันด้านค่าครองชีพ
ผลสำรวจของ PBS News / NPR / Marist ที่จัดทำในเดือนนี้ พบว่า 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า ค่าครองชีพในพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่นั้นถึงขั้นที่ “ไม่สามารถจ่ายได้”
นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนเตือนว่า ผลกระทบที่แท้จริงของมาตรการภาษีอาจยังไม่สะท้อนออกมาอย่างเต็มที่ เนื่องจากบริษัทจำนวนมากได้เร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม รอล์ฟ เจ. แลงฮัมเมอร์ นักวิจัยจากสถาบันเศรษฐกิจโลกเมืองคีล ประเทศเยอรมนี ระบุว่า ยังไม่อาจสรุปได้ว่าค่าครองชีพจะทรงตัวต่อไปในปีหน้าเพราะการเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้ากำลังจางหายไป และผลของภาษีต่อเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะเห็นชัดเจนขึ้นในปี 2026 โดยเฉพาะเมื่อรวมกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม แคมป์เบล ฮาร์วีย์ นักเศรษฐศาสตร์ มองว่า มาตรการภาษีมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมค่อนข้างจำกัด
แม้ทรัมป์จะให้คำมั่นว่า จะฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของภาคการผลิตในสหรัฐฯ แต่อัตราการว่างงานกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เขากลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศสมัยที่สองในเดือนมกราคม
ตัวเลขทางการระบุว่า อัตราว่างงานขยับขึ้นสู่ระดับ 4.6% ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี เพิ่มขึ้นจาก 4% ในเดือนมกราคม
ทรัมป์ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงานมีสาเหตุหลักจากการลดตำแหน่งงานภาครัฐ ที่ดำเนินการโดยกระทรวงประสิทธิภาพภาครัฐ อย่างไรก็ตาม การปลดพนักงานกลุ่มนี้คิดเป็นเพียงส่วนน้อยของจำนวนผู้ว่างงานทั้งหมด
ข้อมูลจากสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ระบุว่า แม้ DOGE จะลดจำนวนข้าราชการรัฐบาลกลางลงราว 300,000 คน แต่ในเดือนพฤศจิกายน มีชาวอเมริกันที่ถูกจัดอยู่ในสถานะว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านคน เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม สะท้อนว่าปัญหาการจ้างงานมีปัจจัยที่กว้างไกลกว่าการปรับโครงสร้างภาครัฐเพียงอย่างเดียว