
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Thailand's Moment: Igniting Economic Revival มั่นใจประเทศไทย พลิกฟื้นเศรษฐกิจ” ในงานสัมมนา SPOTLIGHT DAY 2025 ภายใต้แนวคิด “New World Order เศรษฐกิจไทยในระเบียบโลกใหม่” จัดโดย บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด และกองบรรณาธิการ SPOTLIGHT เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีผู้กำหนดนโยบายระดับสูง ภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อค้นหาทางรอดให้เศรษฐกิจไทย
ระเบียบโลกใหม่ และโจทย์ใหญ่ในการออกแบบเศรษฐกิจไทย
ดร.เอกนิติกล่าวว่า หัวข้อ New World Order เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นกรอบคิดหลักตั้งแต่รับตำแหน่ง ว่า ประเทศไทยต้องปรับตัวอย่างไรในระเบียบโลกใหม่ ภายใต้เวลาจำกัดเพียง 4 เดือน ที่รัฐบาลต้องทำให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นอย่างน้อยในระยะต้น พร้อมวางรากฐานระยะยาวไปพร้อมกัน รัฐบาลและทีมเศรษฐกิจจึงเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงของสภาพเศรษฐกิจไทย เพื่อแก้ปัญหาให้ถูกจุดและจัดลำดับความสำคัญอย่างเข้มข้น นำไปสู่แนวคิด Quick Big Win ซึ่งเป็นกรอบการทำงานแบบเร่งด่วนแต่ต้องให้ผลยาวและยั่งยืน
ข้อจำกัดงบประมาณและความเสี่ยงใหม่ของโลก
ดร.เอกนิติระบุว่า สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือ ข้อจำกัดงบประมาณ เพราะก่อนรับตำแหน่ง ประเทศไทยถูกเตือนจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 2 แห่งว่าจะถูกปรับลด Outlook ขณะเดียวกันไทยต้องเผชิญกับระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป ทั้งภาษีทรัมป์ การแข่งขันทางการค้า เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว AI และวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เห็นชัดในภาคใต้
เขาย้ำว่า หากแก้แต่ปัญหาระยะสั้นโดยไม่คิดระยะยาว ประเทศไทยจะเผชิญผลกระทบซ้ำๆ จึงจำเป็นต้องออกแบบนโยบายบนฐานความเป็นจริงของโลกยุคใหม่
ระเบียบการค้าโลกใหม่ จากอเมริกา–ญี่ปุ่น สู่การเผชิญหน้าระหว่างอเมริกา–จีน
ดร.เอกนิติ อธิบายว่า ระเบียบการค้าโลกในยุคนี้มี 3 เรื่องใหญ่ ได้แก่ การค้า เทคโนโลยี และสภาพภูมิอากาศ
อดีตเคยเกิดแรงปะทะระหว่างสหรัฐฯ–ญี่ปุ่น จนนำไปสู่การบีบค่าเงินเยน และผลักให้ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตสู่อาเซียน ทำให้ไทยได้บุญเก่าเป็นฐานอุตสาหกรรมสำคัญ
ส่วนปัจจุบัน ผู้เล่นคู่ขัดแย้งเปลี่ยนเป็น สหรัฐฯ–จีน เครื่องมือเปลี่ยนจากค่าเงินมาเป็น “ภาษี” ส่งผลต่อกติกาโลกอย่างลึกซึ้ง
แม้สถานการณ์กดดัน แต่ไทยยังมีโอกาส โดยเฉพาะในฐานะรองนายกฯ ที่ดูแล BOI พบว่า
กว่า 90% ของธุรกิจระดับแอปพลิเคชันที่เติบโตต้องการเข้ามาลงทุนในไทย เพราะไทยยังมีขีดความสามารถในหลายสาขา
จุดแข็งของไทย เกษตรอัจฉริยะ อาหาร ยานยนต์ และการแพทย์ครบวงจร
ดร.เอกนิติ กล่าวว่า ประเทศไทยยังมีฐานการผลิตแข็งแกร่ง ทั้งภาคเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) อาหาร อุตสาหกรรม รถยนต์ และการแพทย์ที่มีคุณภาพระดับโลก มีหมอเก่ง โรงพยาบาลจัดการดี จึงยังเป็นที่สนใจของนักลงทุน แต่ปัญหาที่ทำให้ไม่รู้สึกถึงโอกาสคือ กฎระเบียบที่ติดขัด
ดร.เอกนิติเล่าว่า เมื่อไล่ตรวจโครงการพร้อมลงทุนกว่า 480,000 ล้านบาท พบว่าไม่สามารถเดินหน้าได้เพราะติดเรื่องน้ำ ไฟ ที่ดิน วีซ่า และการขออนุญาต ซึ่งในระยะเวลาเพียง 4 เดือนไม่อาจแก้ทั้งหมดได้ทันที รัฐบาลจึงออกโครงการ Thailand FastPass ผ่าน ครม. เพื่อปลดล็อกทุกขั้นตอนให้การลงทุนเกิดขึ้นจริง และแก้คอขวดที่ภาคเอกชนรอมาอย่างยาวนาน เช่น การขอใบอนุญาตที่ใช้เวลามากเกินไป และการตรวจมาตรฐานที่ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่รัฐเพียงอย่างเดียว ทั้งที่เอกชนมีศักยภาพรองรับ
เทคโนโลยี–เอไอ–ดาต้าเซ็นเตอร์ โอกาสใหม่ของไทย
ดร.เอกนิติ กล่าวอีกว่า เรื่องที่สองคือเทคโนโลยีและเอไอ ซึ่งไทยมีโอกาสมากเพราะมี ดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนมาก ต้องการลงทุนเพิ่ม แต่ติดปัญหา “ไฟฟ้าสะอาด” รัฐบาลจึงปลดล็อกเงื่อนไขด้านพลังงาน และผลักดันระบบ Direct PPA เพื่อเปิดให้ซื้อพลังงานสะอาดโดยตรง ไทยมีจุดแข็งเรื่องแหล่งพลังงานและพื้นที่ จึงต้องเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบสายส่ง เพื่อดึงดูดการลงทุนในยุคที่โลกแข่งขันรุนแรง
ไทยต้องปรับตัวเพื่อไม่ให้สินค้าส่งออกแพงขึ้น
ดร.เอกนิติชี้ว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคเก็บภาษีคาร์บอน หากไทยไม่เร่งเปลี่ยนผ่าน สินค้าส่งออกจะมีต้นทุนเพิ่มและเสียเปรียบทันที โดยเฉพาะตลาดยุโรปที่จริงจังมากเรื่องพลังงานสะอาด เขายกตัวอย่าง “สระบุรีโมเดล” ว่าเป็นตัวอย่างความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน ท้องถิ่น ที่สามารถสร้างระบบพลังงานสะอาดเข้มแข็งได้ ขณะเดียวกันรัฐบาลกำลังผลักดันแนวคิด Low Carbon City ให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ
แม้คนไทยเก่งใช้โซเชียล แต่ยังไม่ใช้ดิจิทัลและเอไอเพื่อสร้างรายได้ ดร.เอกนิติเน้นว่า “การลงทุนในคน” คือสิ่งสำคัญที่สุดของโลกยุคใหม่ รัฐบาลจึงสอดแทรกการพัฒนาทักษะลงไปในทุกโครงการ ตัวอย่างเด่นคือ คนละครึ่งพลัส จากโครงการกระตุ้นระยะสั้น กลายเป็นโครงการเพิ่มศักยภาพระยะยาว โดยร่วมมือกับธนาคารและแพลตฟอร์มสอนเรื่องบัญชีครัวเรือน การขายออนไลน์ และการใช้เอไอ เพื่อให้ประชาชนทำมาหากินได้ดีขึ้น และลดการกู้หนี้นอกระบบ
เพียงหนึ่งสัปดาห์มีร้านค้าสมัครเรียนกว่า 50,000 ร้านค้า ยอดขายของแม่ค้าบนแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้น รายได้ไรเดอร์สูงขึ้น และเกิดการกระจายตัวของเศรษฐกิจอย่างชัดเจน
สำคัญที่สุดคือ เป็นการใช้งบแบบคุ้มค่า ไม่ใช้เงินใหม่ แต่เพิ่มประสิทธิภาพจากระบบที่มีอยู่
สร้างรากฐานใหม่ภายใต้เวลาจำกัด
ดร.เอกนิติกล่าวว่า ไทยยังมีโอกาส แม้ต้องเผชิญระเบียบโลกใหม่ ไม่ว่าจะเรื่องการค้า โลกร้อน หรือดิจิทัล แต่สิ่งที่ไทยขาดที่สุดคือ การลงทุน ทั้งการลงทุนในคนและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น พลังงานสะอาด ในช่วงเวลาเพียงสี่เดือน รัฐบาลพยายามวางรากฐานให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ควบคู่กับสร้างความพร้อมระยะยาว เพื่อให้ไทยกลับมาเติบโต และเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง