
เหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่โครงการที่อยู่อาศัยในย่านไทโปของฮ่องกง ได้สร้างความสูญเสียครั้งรุนแรงจนถูกยกให้เป็นไฟไหม้ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง เหตุการณ์ดังกล่าวคร่าชีวิตประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 55 ราย รวมถึงเจ้าหน้าที่ดับเพลิงหนึ่งนาย ขณะที่ครอบครัวผู้ประสบภัยจำนวนมากต้องเผชิญทั้งการสูญเสียถิ่นที่อยู่ ทรัพย์สิน และบุคคลอันเป็นที่รัก ท่ามกลางความโกลาหล การค้นหา และการรักษาผู้บาดเจ็บที่ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางวิกฤต มูลนิธิแจ็ก หม่า พร้อมด้วยอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิง และแอนต์ กรุ๊ป ได้ประกาศอัดฉีดเงินช่วยเหลือรวม 60 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยและสนับสนุนภารกิจกู้ชีพ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกจับตาอย่างใกล้ชิดในฐานะบททดสอบบทบาทความรับผิดชอบต่อสังคมของบรรษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจีนในสถานการณ์ฉุกเฉินระดับเมือง
มูลนิธิแจ็ก หม่า เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่าจะบริจาคเงิน 30 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 3.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัย เจ้าหน้าที่ดับเพลิง และผู้กู้ภัย โดยมูลนิธิซึ่งก่อตั้งโดยผู้ก่อตั้งอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิง และแอนต์ กรุ๊ป ระบุในแถลงการณ์ว่า ขอแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ทั้งนี้ อาลีบาบายังเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ South China Morning Post
การบริจาคดังกล่าวของมูลนิธิแจ็ก หม่า เกิดขึ้นต่อเนื่องจากคำมั่นก่อนหน้านี้ของอาลีบาบาที่ประกาศว่าจะสนับสนุนอีก 20 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง และแอนต์อีก 10 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ส่งผลให้ยอดรวมความช่วยเหลือจากทั้งสามหน่วยงานพุ่งเป็น 60 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 248 ล้านบาท และทำให้ทั้งสองบริษัทเป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดในกลุ่มบริษัทยักษ์เทคจีนในเหตุการณ์ครั้งนี้
นอกจากนี้ มูลนิธิแจ็ก หม่า ยังได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมยกย่องความกล้าหาญของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและบุคลากรฉุกเฉินที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์อันตราย
อาลีบาบาระบุว่าได้โอนเงินบริจาคระยะแรกเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการกู้ภัย การจัดตั้งที่พักชั่วคราว และการจัดส่งสิ่งของจำเป็น พร้อมเปิดใช้งานกลไกตอบสนองภาวะฉุกเฉิน โดยหน่วยโลจิสติกส์ Cainiao ได้เร่งจัดส่งเสื้อผ้าและอาหารให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ด้านแอนต์เผยว่าเงินบริจาคส่วนแรกจะถูกจัดสรรผ่านความร่วมมือกับ AlipayHK บริษัทย่อยในฮ่องกง พร้อมเพิ่มฟังก์ชันพิเศษในแอปเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถบริจาคช่วยเหลือได้โดยตรง
ในด้านสถานการณ์ภาคสนาม การกู้ภัยยังคงดำเนินต่อถึงช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี หลังเปลวเพลิงลุกลามขึ้นสู่ชั้นบนของอาคารที่พักอาศัยอย่างน้อย 3 หลัง ขณะที่ยังมีผู้สูญหายใกล้ 280 คน ผู้บาดเจ็บ 68 รายถูกนำส่งโรงพยาบาล ในจำนวนนี้มีผู้มีอาการวิกฤต 16 ราย และอาการหนัก 25 ราย ด้านผู้บริหารสูงสุด จอห์น ลี คา-ชิว ได้สั่งตรวจสอบโครงการบ้านเช่าสาธารณะทุกแห่งที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงครั้งใหญ่ หลังทางการเปิดการสอบสวนคดีอาญาต่อเหตุไฟไหม้ครั้งนี้
ข้อมูลจากทางการระบุว่า อาคารที่พักอาศัยทั้ง 8 หลังในโครงการวังฟุก คอร์ต อยู่ระหว่างการปรับปรุงมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีก่อน และถูกคลุมด้วยตาข่ายที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านอัคคีภัย ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นหัวใจสำคัญของการสอบสวน ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินคดีและการทบทวนมาตรการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยในอนาคต
รายงานจากสื่อจีนระบุว่า ต้นเพลิงเริ่มขึ้นในช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันพุธจากอาคารหลังหนึ่งในโครงการที่พักอาศัยวังฟุกคอร์ต ก่อนจะลุกลามไปอีก 7 อาคารภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง อาคารทั้ง 8 หลังในโครงการ ซึ่งแต่ละหลังสูง 31 ชั้น ถูกคลุมด้วยนั่งร้านและตาข่ายกันฝุ่น เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงครั้งใหญ่ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ภาพเปลวเพลิงที่ลุกโหมตามแนวผนังอาคารและพาดผ่านโครงนั่งร้าน สร้างภาพสะเทือนใจให้กับผู้พบเห็น และทำให้การควบคุมไฟเป็นไปอย่างยากลำบาก
ผู้เชี่ยวชาญด้านอัคคีภัยชี้ว่า นั่งร้านไม้ไผ่แม้จะผ่านการเคลือบสารหน่วงไฟ ก็ยังสามารถติดไฟได้หากเจอกับความร้อนในระดับสูง ประกอบกับเศษวัสดุจำนวนมาก ทั้งเศษไม้ กระดาษ หนังสือพิมพ์ รวมถึงสีและสารเคมีจากการก่อสร้าง ซึ่งล้วนเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้ไฟลุกลามรวดเร็วเกินคาด ขณะเดียวกัน ลมที่พัดแรงในช่วงเกิดเหตุยังเป็นตัวแปรสำคัญ โดยพัดพาเศษวัสดุที่ลุกไหม้ปลิวไปตกยังอาคารข้างเคียง จุดให้เกิดไฟใหม่ต่อเนื่องราวโดมิโน
วิศวกรอัคคีภัยยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ความร้อนจากรังสีของเปลวไฟสามารถทำให้สิ่งปลูกสร้างใกล้เคียงติดไฟได้แม้ไม่ได้สัมผัสเปลวไฟโดยตรง สภาพแวดล้อมทั้งหมดจึงเปรียบเสมือน “เตาอบขนาดยักษ์” ที่ปล่อยความร้อนแผ่อบอวลปกคลุมผนังอาคาร และส่งผลให้ข้าวของและเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องพักอาศัยลุกไหม้อย่างรวดเร็ว
นอกเหนือจากปัจจัยด้านโครงสร้างและสภาพแวดล้อม เสียงสะท้อนจากชาวบ้านในพื้นที่ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับข้อสงสัยเรื่องความประมาทในการทำงานก่อสร้าง ผู้อยู่อาศัยหลายรายให้ข้อมูลตรงกันว่า เคยพบเห็นคนงานสูบบุหรี่ภายในพื้นที่โครงการเป็นประจำ และมีการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นเวลาหลายเดือน
อดีตประธานนิติบุคคลอาคารชุดในโครงการแห่งนี้กล่าวว่า ปัญหาการสูบบุหรี่ของคนงานเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมักพบก้นบุหรี่ถูกทิ้งเกลื่อนพื้นที่ จนก่อให้เกิดความกังวลว่าจะนำไปสู่เหตุเพลิงไหม้ในสักวัน ซึ่งในที่สุด ความกังวลดังกล่าวก็กลายเป็นจริง ท่ามกลางความเศร้าโศกของผู้สูญเสีย
ด้านเจ้าหน้าที่ดับเพลิงยอมรับว่า อุณหภูมิภายในอาคารที่รุนแรงจนเกินรับไหว ทำให้การเข้าไปปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งเศษซากอาคารและนั่งร้านที่ร่วงหล่นลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง เพิ่มความเสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่แนวหน้า และทำให้ภารกิจดับเพลิงและค้นหาผู้ติดอยู่ภายในยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คาดการณ์
แม้ในขณะนี้สาเหตุที่แน่ชัดของเพลิงไหม้ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน แต่ภาพเหตุการณ์และข้อมูลจากหลายฝ่ายสะท้อนชัดว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้อาจไม่ได้เกิดจากปัจจัยเพียงอย่างเดียว หากเป็นผลพวงจากความบกพร่องหลายด้านที่ทับซ้อนกัน ตั้งแต่มาตรฐานความปลอดภัย วินัยในการทำงาน ไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งทั้งหมดกำลังรอคำตอบจากการสอบสวนอย่างละเอียดในวันข้างหน้า