Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ภาษีทรัมป์ไม่รอดศาลฎีกา? หายไปจริงกระทบไทยอย่างไร ภาษีไหนมีสิทธิมาแทน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ภาษีทรัมป์ไม่รอดศาลฎีกา? หายไปจริงกระทบไทยอย่างไร ภาษีไหนมีสิทธิมาแทน

8 พ.ย. 68
10:07 น.
แชร์

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ศาลสูงสหรัฐ (Supreme Court) ได้เริ่มไต่สวนคดีสำคัญเพื่อวินิจฉัยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีอำนาจตามกฎหมายในการใช้อำนาจภาวะฉุกเฉินเพื่อกำหนดภาษีศุลกากรในวงกว้างต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลกหรือไม่ การพิจารณาครั้งนี้จุดกระแสคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่ามาตรการของทรัมป์อาจถูกเพิกถอน แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความกังวลว่า หากศาลตัดสินให้ฝ่ายประธานาธิบดีแพ้คดี ทรัมป์อาจหันไปใช้ยุทธศาสตร์ทางการค้าอื่นที่ไม่แน่นอนแทน

ประเด็นหลักที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคือ การตีความกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ว่ามอบอำนาจให้ประธานาธิบดีสามารถเรียกเก็บภาษีนำเข้าได้หรือไม่ เนื่องจากตัวบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้กล่าวถึงการจัดเก็บภาษีโดยตรง แต่จำกัดขอบเขตไว้เพียงการควบคุมการค้าระหว่างประเทศในสถานการณ์ที่มีภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติเท่านั้น

ระหว่างการไต่สวน ผู้พิพากษาหลายคนตั้งข้อสงสัยว่าการตีความของทรัมป์อาจเกินขอบเขตเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยทั้งฝ่ายอนุรักษนิยมและเสรีนิยมในศาลต่างตั้งคำถามถึงขอบเขตอำนาจของผู้นำสหรัฐในการอ้าง “ภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ” เพื่อออกมาตรการภาษีที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ สายการบินหลัก ไปจนถึงผู้นำเข้าสินค้าบริโภคที่ต้องเผชิญต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

นโยบายภาษีถือเป็นหนึ่งในหัวใจของยุทธศาสตร์ต่างประเทศของทรัมป์นับตั้งแต่กลับมาดำรงตำแหน่งเมื่อต้นปีนี้ โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่ามาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อ “ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ” และ “ทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กกลับเป็นผู้ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเข้าไวน์ ของเล่น หรือเครื่องใช้ในครัวเรือนที่ต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นจนบางรายจำเป็นต้องลดพนักงานหรือปรับลดราคาสินค้าเพื่อความอยู่รอด

ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม ศาลการค้าระหว่างประเทศในนครนิวยอร์กได้มีคำพิพากษาว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการกำหนดภาษี โดยระบุชัดว่า “รัฐธรรมนูญสหรัฐมอบอำนาจในการกำกับดูแลการค้าระหว่างประเทศไว้กับสภาคองเกรสเท่านั้น” คำพิพากษาดังกล่าวได้รับการยืนยันจากศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อเดือนสิงหาคม ทำให้คดีนี้กลายเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุดที่ทดสอบขอบเขตอำนาจของฝ่ายบริหารในรอบหลายปี

ล่าสุด ศาลสูงสุดของสหรัฐรับคำร้องอุทธรณ์เพื่อพิจารณาคดี โดยฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก นำโดยนีล คัตยาล (Neal Katyal) ทนายความเชื้อสายอินเดีย-อเมริกันชื่อดัง ให้การต่อศาลว่ามาตรการของทรัมป์ได้สร้างความเสียหายต่อเสถียรภาพทางธุรกิจ หลายบริษัทต้องลดพนักงาน ปรับโครงสร้างต้นทุน และบางรายกำลังพิจารณาปิดกิจการ นักวิเคราะห์เตือนว่า หากศาลสูงสุดตัดสินยืนตามศาลล่าง แม้อาจเกิดความปั่นป่วนในตลาดการค้าระหว่างประเทศระยะสั้น แต่จะเป็นการวางกรอบจำกัดการใช้อำนาจฝ่ายบริหารให้สอดคล้องกับหลักการแบ่งแยกอำนาจตามรัฐธรรมนูญในระยะยาว

การพิจารณาของศาลสูงครั้งนี้จึงไม่เพียงเกี่ยวข้องกับประเด็นภาษีเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติในระบบการเมืองสหรัฐฯ ว่าจะถูกกำหนดและตีความอย่างไร ท่ามกลางยุคที่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศกำลังทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้นทุกขณะ

ทำไมคดีนี้จึงเป็นบททดสอบสูงสุดของนโยบายภาษีของทรัมป์?

คดีนี้ถูกมองว่าเป็น “บททดสอบสูงสุด” ของนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะไม่ได้เป็นเพียงการพิจารณาถึงความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการภาษีเท่านั้น แต่ยังเป็นการตัดสินใจเชิงหลักการเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจของฝ่ายบริหารในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลยาวนานต่อระบบการเมืองและเศรษฐกิจโลก

ศาลสูงสุด ซึ่งมีองค์คณะผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษนิยมครองเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 มักใช้เวลาหลายเดือนก่อนออกคำวินิจฉัย และแม้ขณะนี้ยังไม่มีกำหนดชัดเจนว่าจะตัดสินเมื่อใด แต่นักวิเคราะห์มองว่าการที่คดีนี้ถูกนำขึ้นสู่ศาลสูงสุดสะท้อนถึงความสำคัญในระดับประวัติศาสตร์ เพราะเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ศาลจะต้องตีความอำนาจ “ภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ” ของประธานาธิบดีในบริบทของการเก็บภาษีระหว่างประเทศ

แม็กซ์ โยเอลี นักวิจัยอาวุโสจากสถาบัน Chatham House ในสหราชอาณาจักร อธิบายว่า “คำตัดสินของศาลจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของการบริหารภายใต้ทรัมป์ และผู้นำสหรัฐในอนาคต ทั้งในมิติของอำนาจฝ่ายบริหาร การค้าระหว่างประเทศ และนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ” เขาชี้ด้วยว่า นี่เป็น “จุดหักเหสำคัญของศาลสูงสุด” ซึ่งก่อนหน้านี้มักไม่จำกัดอำนาจของทรัมป์ในคดีใหญ่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจประธานาธิบดี

เพนนี นาส รองประธานอาวุโสชั่วคราวของ German Marshall Fund ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวว่า “คำตัดสินครั้งนี้จะถูกมองว่าเป็นการทดสอบขอบเขตอำนาจของทรัมป์อย่างแท้จริง” และหากศาลมีคำตัดสินให้จำกัดอำนาจของเขา นั่นจะถือเป็น “การตรวจสอบและถ่วงดุลโดยตรงในระดับสูงสุด” ต่ออำนาจของประธานาธิบดี

ด้านชานตานุ ซิงห์ ทนายความด้านการค้าระหว่างประเทศจากอินเดีย เสริมว่า ผลของคดีนี้อาจสั่นสะเทือนระบบการค้าทั่วโลก เนื่องจากตลอดช่วงที่ผ่านมา ทรัมป์ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดันประเทศคู่ค้าให้ทำข้อตกลงใหม่กับสหรัฐ ทั้งสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น กัมพูชา และอินโดนีเซีย ต่างต้องยอมเจรจาลดภาษีและปรับเงื่อนไขการค้าเพื่อลดแรงกดดันจากภาษีของสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงเหล่านี้ก็มาพร้อมการประนีประนอมร่วมกันในหลายด้าน เช่น ประเทศในยุโรปต้องยอมซื้อพลังงานจากสหรัฐมูลค่ากว่า 750,000 ล้านดอลลาร์ และลดภาษีเหล็กผ่านระบบโควตา ซิงห์เตือนว่า “หากศาลสูงสุดมีคำวินิจฉัยในทางลบต่อมาตรการภาษีของทรัมป์ ความเชื่อมั่นของประเทศต่าง ๆ ในการทำข้อตกลงกับสหรัฐอาจสั่นคลอนทันที และประเทศที่อยู่ระหว่างการเจรจาจะต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ทั้งหมดตามผลคำตัดสินและท่าทีของรัฐบาลสหรัฐหลังจากนั้

จะเกิดอะไรขึ้นหากศาลตัดสินให้ทรัมป์แพ้? มีกฎหมายไหนมาแทนได้บ้าง?

หากศาลสูงสุดมีคำตัดสินให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แพ้คดีภาษีภายใต้กฎหมายภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ (IEEPA) ผลกระทบที่จะตามมาถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในมิติของกฎหมาย เศรษฐกิจ และการเมืองภายในสหรัฐฯ

หลังการไต่สวนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา รัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนท์ ซึ่งเข้าร่วมรับฟังพร้อมรัฐมนตรีพาณิชย์ ฮาวเวิร์ด ลัตนิก ให้สัมภาษณ์กับ Fox News ว่า เขา “มั่นใจอย่างมากว่าศาลจะตัดสินให้รัฐบาลชนะคดี” พร้อมย้ำว่าทีมทนายความของรัฐบาล “ได้เสนอเหตุผลที่หนักแน่นและชัดเจนว่าทำไมประธานาธิบดีจึงควรมีอำนาจดังกล่าวในภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ”

อย่างไรก็ตาม ชานตานุ ซิงห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศ เตือนว่าหากศาลตัดสินว่ามาตรการภาษีของทรัมป์ “ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือเกินขอบเขตกฎหมาย” ปัญหาแรกที่จะเกิดขึ้นคือการจัดการคืนภาษีที่ได้เก็บไปจากผู้นำเข้า ซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อนในทางปฏิบัติและอาจกลายเป็นข้อพิพาทระดับประเทศ “รัฐบาลอาจจำเป็นต้องเร่งหาช่องทางทางกฎหมายอื่นเพื่อฟื้นมาตรการภาษีบางส่วน เนื่องจากทรัมป์ถือว่าภาษีคือเครื่องมือหลักในการต่อรองทางการค้ากับต่างประเทศ” เขากล่าว

เพนนี นาส จาก German Marshall Fund ยังกล่าวเสริมว่า แม้มาตรการตาม IEEPA จะถูกเพิกถอน ทรัมป์ยังคงมี “เครื่องมือด้านภาษีและการค้า” อื่นให้ใช้อยู่หลายช่องทาง เช่น การอ้างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ หรือกฎหมายขยายการค้า (Section 232 of the Trade Expansion Act) ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีสามารถขึ้นภาษีโดยอ้างเหตุผลด้าน “ความมั่นคงแห่งชาติ” ได้ แต่ใช้ได้เฉพาะบางอุตสาหกรรม และต้องผ่านการสอบสวนจากกระทรวงพาณิชย์ก่อน จึงจะสามารถประกาศเก็บภาษีได้ 

โดยมาตรการภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดง ไม้แปรรูป เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์ ที่ทรัมป์เคยใช้ในสมัยที่สอง ล้วนเป็นผลจากการสอบสวนตามมาตรา 232 รวมถึงการสั่งสอบสวนสินค้านำเข้าหลายรายการ เช่น แร่ธาตุสำคัญ เซมิคอนดักเตอร์ เวชภัณฑ์ และหุ่นยนต์

นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์อาจใช้มาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติการค้าปี 1974 (Trade Act of 1974) ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีจัดเก็บภาษีศุลกากรไม่เกิน 15% เป็นเวลาไม่เกิน 150 วัน เพื่อแก้ไขสถานการณ์ “ขาดดุลการชำระเงินอย่างรุนแรง” โดยหลังครบกำหนด 150 วัน มาตรการดังกล่าวจะขยายต่อได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ทั้งนี้ มาตรานี้ไม่จำเป็นต้องผ่านการสอบสวนล่วงหน้า ทำให้ทรัมป์สามารถออกมาตรการได้ทันที

อีกทางหนึ่งคือ มาตรา 301 แห่งพระราชบัญญัติการค้าปี 1974 ซึ่งให้อำนาจผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) สอบสวนประเทศที่ถูกมองว่าละเมิดข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ หรือออกกฎเกณฑ์ที่ “ไม่เป็นธรรม” และ “สร้างภาระต่อธุรกิจสหรัฐฯ” โดยเมื่อเดือนก่อน ผู้แทนการค้าสหรัฐ เจมีสัน เกรียร์ ได้เริ่มการสอบสวนว่าจีนปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าที่ทรัมป์เจรจาไว้ในสมัยแรกหรือไม่ 

กระบวนการดังกล่าวอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรืออาจยืดเยื้อเป็นหลายเดือน ก่อนที่จะนำไปสู่การจัดเก็บภาษีจริง เนื่องจากต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะเป็นขั้นตอนก่อนหน้า ทั้งนี้ มาตรา 301 ไม่มีข้อจำกัดด้านอัตราภาษีหรือระยะเวลาการบังคับใช้ แตกต่างจากมาตรา 122 ซึ่งมีกรอบเวลาชัดเจน ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถใช้มาตรการภาษีตามมาตรา 301 ได้ต่อเนื่องยาวนาน หากได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและภาคธุรกิจในประเทศ

สุดท้ายคือ มาตรา 338 แห่งพระราชบัญญัติภาษีศุลกากรปี 1930 (Tariff Act of 1930) ที่แม้ไม่เคยมีประธานาธิบดีรายใดนำมาใช้ แต่ทรัมป์สามารถอ้างมาตรานี้เพื่อขึ้นภาษีสูงสุดถึง 50% ต่อสินค้านำเข้าจากประเทศที่เขามองว่ามีการปฏิบัติทางการค้าที่เลือกปฏิบัติต่อสหรัฐ อย่างไรก็ตาม มาตรการเช่นนี้อาจขัดต่อพันธกรณีของสหรัฐในองค์การการค้าโลก (WTO) และเสี่ยงกระตุ้นให้ประเทศที่ได้รับผลกระทบตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีในระดับรุนแรง

ผลกระทบต่อประเทศต่างๆ หากภาษีทรัมป์ถูกปัดตก

หากศาลสูงสุดมีคำตัดสินไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลทรัมป์คาดหมาย โลกการค้าอาจต้องเผชิญกับ “การปรับสมการใหม่” ของโครงสร้างภาษีศุลกากรทั่วโลก และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเส้นทางการค้าแต่ละภูมิภาค

นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ให้ความเห็นว่า ประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลทรัมป์ในช่วงต้นปีนี้ มีแนวโน้มที่จะคงอยู่ภายใต้กรอบเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงภาษีอีกรอบ 

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า ในทางปฏิบัติ ภาระภาษีส่วนใหญ่จะยังตกอยู่กับผู้นำเข้าชาวอเมริกันมากกว่าประเทศคู่ค้า ทำให้เจตนารมณ์ของประเทศเหล่านั้นอาจไม่ใช่ปัจจัยตัดสินใจหลัก และมีความเป็นไปได้สูงว่าฝ่ายบริหารของทรัมป์จะหันไปใช้อำนาจทางกฎหมายอื่น เพื่อคงอัตราภาษีที่ตกลงไว้เดิม ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะ “ความไม่แน่นอนทางการค้า” อีกระลอกในระดับโลก

  • อาเซียน

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกระทบอาจชัดเจนกว่าภูมิภาคอื่น เนื่องจากการส่งออกจากเวียดนาม ไทย และประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นอย่างมากตลอดปีนี้ ภายหลังบริษัทต่างๆ เร่งขนส่งสินค้าออกก่อนที่มาตรการภาษีชุดใหม่ของสหรัฐฯ จะมีผล หากศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกหรือลดอัตราภาษีดังกล่าว อาจเกิดกระแสนำเข้าสินค้ารอบใหม่จากเอเชียเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ แต่ขอบเขตของผลกระทบยังไม่สามารถประเมินได้แน่ชัด เพราะสินค้าหลักจำนวนมาก โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ ยังได้รับการยกเว้นภาษีอยู่ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่ากำลังพิจารณาเก็บภาษีสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงในอัตราสูงถึง 300% หากมาตรการนี้ถูกประกาศใช้จริง ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอาจก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่อระบบการผลิตและการลงทุนในวงกว้าง

ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่า หากศาลฯ มีคำสั่งระงับและยกเลิกการจัดเก็บภาษีนำเข้าภายใต้กฎหมาย IEEPA จะมีผลต่อไทยผ่านภาษี Reciprocal Tariff ที่ถูกจัดเก็บในอัตรา 19% ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนราว 50% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องพิมพ์ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารสัตว์ ข้าว เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกของไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีภายใต้มาตรา 232 ในระยะข้างหน้า โดยสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันยังได้รับการยกเว้นภาษีฯ มีมูลค่าราว 30–35% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยไปยังสหรัฐฯ ซึ่งในหลายรายการมีความเสี่ยงที่จะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมภายใต้มาตรา 232 อาทิ วงจรรวม ไดโอด และทรานซิสเตอร์ ที่อยู่ในกลุ่มสินค้ากึ่งตัวนำ (semiconductors) ซึ่งสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาและไต่สวนการจัดเก็บภาษีภายใต้มาตรา 232 สำหรับสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ

นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาเช่นกัน เช่น เครื่องจักรกลอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ในระยะต่อไป

  • อินเดียและจีน

ด้านอินเดียและจีนเป็นสองประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ มากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่วอชิงตันมองว่าเกี่ยวข้องกับ “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ขณะที่บราซิลก็ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงเป็นพิเศษ ส่วนสวิตเซอร์แลนด์กลับถูกระบุให้เป็นหนึ่งในเป้าหมายอย่างไม่คาดคิด เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ โดยตรง

จากการประเมินของ Bloomberg Economics หากศาลสูงสุดมีคำตัดสินในทางที่ไม่เป็นคุณต่อรัฐบาลทรัมป์ อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยที่แท้จริงของสหรัฐฯ จะลดลงมาอยู่ที่ราว 6.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ก่อนวันที่ 2 เมษายน ที่ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษี “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) ครอบคลุมสินค้าจากหลายสิบประเทศ ทั้งนี้ อัตราภาษีเฉลี่ยที่แท้จริงดังกล่าวแตกต่างจากตัวเลขที่ประกาศอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีข้อยกเว้นบางรายการ และยังมีภาษีบางส่วนที่คงอยู่จากมาตรการก่อนหน้า

ในกรณีของจีน ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจยังคงซับซ้อนและเปราะบาง แม้ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะตกลงกันเมื่อสัปดาห์ก่อนให้ลดภาษีของสหรัฐฯ ต่อจีนลง 10% และขยายเวลาระงับการเก็บภาษีเพิ่มเติมออกไปอีกหนึ่งปี เพื่อสร้างเสถียรภาพให้แก่ภาคธุรกิจ แต่ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงสูง เนื่องจากปัญหาหลักไม่ได้จำกัดอยู่ที่เรื่องภาษีเท่านั้น หากแต่ครอบคลุมถึงการแข่งขันเพื่อครอบงำสินค้ากลยุทธ์ เช่น ชิปและแร่ธาตุหายาก

ทรินห์ เหงียน นักเศรษฐศาสตร์จาก Natixis SA ระบุว่า “ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนไม่ใช่เหตุการณ์ชั่วคราว แต่เป็นแนวโน้มระยะยาว แม้บางช่วงจะดูเหมือนผ่อนคลาย แต่การกระจายห่วงโซ่อุปทานของบริษัทต่างๆ เป็นการปรับตัวเชิงยุทธศาสตร์มากกว่าการตอบสนองต่อภาษีเพียงอย่างเดียว”

สื่อของรัฐจีนรายงานข่าวการพิจารณาคดีของศาลสูงอย่างกว้างขวาง โดยสะท้อนมุมมองของนักวิจัยบางส่วนที่เชื่อว่าอำนาจบริหารของทรัมป์ “แข็งแกร่งเกินกว่าศาลจะจำกัดได้จริง” แม้ผู้พิพากษาหลายคนตั้งคำถามต่อความชอบธรรมของนโยบายภาษี แต่ความเป็นไปได้ที่ศาลจะเพิกถอนนโยบายของทรัมป์โดยสิ้นเชิงยังถือว่ามีไม่มาก ทั้งยังอ้างคำกล่าวของรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนท์ ที่ยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะยังคงรักษาระดับภาษีในปัจจุบันต่อไป

สำหรับอินเดีย การเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอลดอัตราภาษีในระดับสูงถึง 50% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอัตราภาษีที่สูงที่สุดในโลก ยังคงดำเนินอยู่ โดยภาษีดังกล่าวมีต้นตอมาจากการที่รัฐบาลทรัมป์มองว่าอินเดียซื้อพลังงานจากรัสเซียในสัดส่วนที่มากเกินไป แม้ในระยะหลังทรัมป์จะปรับน้ำเสียงให้ “นุ่มนวลขึ้น” และทั้งสองฝ่ายต่างพยายามลดความตึงเครียดทางการทูต แต่ประเด็นนี้ยังคงเป็นจุดเปราะบางในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

เจ้าหน้าที่ในกรุงนิวเดลีประเมินว่า คำตัดสินของศาลสูงสุดสหรัฐฯ ไม่น่าจะเปลี่ยนทิศทางของการเจรจาในสาระสำคัญ เพราะทำเนียบขาวยังคงมีเครื่องมือทางบริหารและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีในการกดดันทางเศรษฐกิจได้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม คดีนี้กลับทำให้อินเดียมีเหตุผลและน้ำหนักมากขึ้นในการยืนยันให้ข้อตกลงการค้าระหว่างสองประเทศ มีถ้อยคำที่ชัดเจนและสอดคล้องกับกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) รวมถึงต้องมีผลผูกพันในทางกฎหมาย

หากศาลสูงสุดตัดสินค้านรัฐบาลทรัมป์ ผลที่ตามมาจะยิ่งตอกย้ำจุดยืนของอินเดียในฐานะประเทศที่ให้ความสำคัญกับ “ความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ” และอาจกลายเป็นแรงสนับสนุนให้ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งหันมาผลักดันให้สหรัฐฯ ปฏิบัติตามกลไกทางการค้าพหุภาคีอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น

  • เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ 

ในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ไต้หวันเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์อย่างเด่นชัดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยการส่งออกไปยังตลาดอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้ ตามความต้องการที่สูงขึ้นของชิปและอุปกรณ์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งยังคงได้รับการยกเว้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เป็นส่วนใหญ่

ในทางกลับกัน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ไม่น่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงทางภาษีครั้งนี้ เนื่องจากญี่ปุ่นได้ลงนามในข้อตกลงการค้าและการลงทุนกับสหรัฐฯ ไปแล้ว ขณะที่เกาหลีใต้อยู่ระหว่างกระบวนการให้สัตยาบันข้อตกลงฉบับใหม่ ทั้งสองประเทศจึงมีแนวโน้มจะรักษาความร่วมมือภายใต้กรอบที่ใช้เวลาเจรจามาอย่างยาวนาน เพื่อคงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและลดความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ

  • ยุโรป

ในยุโรป สหภาพยุโรปและสหรัฐฯ เพิ่งบรรลุข้อตกลงทางการค้าเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว สหรัฐฯ ตกลงจะเก็บภาษีสินค้าจากยุโรปส่วนใหญ่ รวมถึงรถยนต์ ในอัตรา 15% ขณะที่บรัสเซลส์ยอมลดภาษีสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรบางประเภทจากสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาททางการค้า และรักษาความร่วมมือด้านความมั่นคงร่วมกันในการรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า “ไม่สมดุล” เนื่องจากยังไม่สามารถยกเลิกภาษีตอบโต้บางรายการได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในกรณีของเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งยังถูกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 50% คณะกรรมาธิการยุโรปจึงอยู่ระหว่างการผลักดันให้สหรัฐฯ ลดภาษีในสองกลุ่มสินค้าดังกล่าว และป้องกันไม่ให้มาตรการภาษีขยายไปครอบคลุมสินค้าประเภทอื่นที่ใช้วัตถุดิบโลหะเหล่านี้เป็นส่วนประกอบ

ในอีกด้านหนึ่ง สมาชิกรัฐสภายุโรปกำลังหารือแนวทางปรับปรุงรายละเอียดของข้อตกลงก่อนให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการ หนึ่งในข้อเสนอที่ได้รับการพูดถึงมากคือการเพิ่ม “ข้อกำหนดวันหมดอายุของข้อตกลง” เพื่อสร้างหลักประกันว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องกลับมาเจรจาทบทวนข้อตกลงอีกครั้งในอนาคต อันจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ และสร้างเสถียรภาพทางการค้าในระยะยาว

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าการพิจารณาของศาลสูงสหรัฐครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการวัดขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดี แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์การค้าโลก ซึ่งแม้จะมีคำตัดสินใดออกมา ความไม่แน่นอนในระบบการค้าระหว่างประเทศก็ดูจะยังคงอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง และอาจเปิดฉากความตึงเครียดทางเศรษฐกิจรอบใหม่ในอนาคตอันใกล้

อ้างอิง: Bloomberg, CNN, Al Jazeera


แชร์
ภาษีทรัมป์ไม่รอดศาลฎีกา? หายไปจริงกระทบไทยอย่างไร ภาษีไหนมีสิทธิมาแทน