
ท่ามกลางโลกที่ผันผวน ประเทศไทยจะเดินไปทางไหน เดินอย่างไร ?
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำทีมเศรษฐกิจรัฐบาลไปตอบคำถามนี้ในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 “THE FUTURE DIRECTION OF THAILAND 2025 : เมื่อโลกเปลี่ยน...ประเทศไทยไปทางไหน ?” จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ในวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ณ โรงละครอักษรา คิงเพาเวอร์ รางน้ำ
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ ‘Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย’ ว่า รัฐบาลนี้จะรีเซตโครงสร้างประเทศไทยใน 3 ด้าน ประกอบด้วย ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
จากนั้น อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาฉายภาพอนาคตพลังงาน และเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาฉายภาพอนาคตการคลังของไทย
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่มีความท้าทายที่สุดของประเทศไทย ที่พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนกำลังตั้งคำถามว่าประเทศไทยจะไปทางไหนต่อ เราจะรอดหรือไม่กับสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ปีหน้าจะมีวิกฤติอะไรอีกหรือไม่ จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ บัณฑิตจบใหม่จะมีงานทำหรือไม่ คนรุ่นใหม่จะกล้ามีลูกกันไหม ใครจะเลี้ยงดูพวกเราตอนแก่
“ต้องยอมรับว่า โลกทุกวันนี้อยู่ยากกว่าที่ผ่านมาสมัยที่พวกเราเด็กและเติบโตขึ้นมา มีทั้งสงคราม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคอุบัติใหม่ ซึ่งมีแค่คำว่าสงครามเท่านั้นที่เราคุ้นชิน คำอื่นล้วนเป็นคำใหม่ มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ที่ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อโลกของเรา และยังมีการปฏิวัติทางเทคโนโลยี นวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI (ปัญญาประดิษฐ์)
“ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน และกำลังเปลี่ยนรูปเศรษฐกิจของโลก งานที่เคยมีก็หายไป วิชาที่เคยเรียนอาจจะเอากลับมาใช้ไม่ได้ ประเทศที่ปรับตัวช้าจะไม่เพียงแต่สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่จะสูญเสียอำนาจต่อรองในเวทีโลกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก”
ด้วยความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ นายกรัฐมนตรีมองว่า การรีเซตโครงสร้างและฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นโจทย์ที่สะท้อนความเป็นจริงที่ว่าเราต้องมีการปรับระบบเดิมที่ไม่ตอบโจทย์ต่ออนาคตอีกต่อไป และวางรากฐานใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปต่อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจ
“คำว่ารีเซต หมายถึงรีเซตวิธีคิดของเรา เราต้องกลับมาทบทวนสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวัน แล้วกลับมาถามว่ามันยังจำเป็นไหม ยังได้ผลไหม ยังเหมาะกับการเปลี่ยนแปลงไปของโลกหรือไม่ เมื่อ 20 ปีก่อน ผมอยู่ในภาคธุรกิจ ผมได้เห็นองค์กรที่เติบโตเพราะกล้าปรับ และองค์กรที่ล่มสลายเพราะปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง สิ่งเราคิดว่าจะไม่มีวันเจ๊ง ก็เจ๊งไปเยอะเลย และสิ่งที่เราคิดว่าไม่น่าจะโตได้ก็โตขึ้นมาแบบทวีคูณ ทางการเมืองก็เช่นกัน พรรคการเมืองไหนไม่ปรับตัวก็ถูกเรียกว่าเป็นพรรคไดโนเสาร์ และในที่สุดก็ล้มหายตายจากไป
“ระบบที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลก วันนี้ประเทศไทยต้องคิดเหมือนองค์กรที่เปลี่ยนระบบการทำงานทั้งโครงสร้าง แต่ความเป็นประเทศต่างจากความเป็นบริษัท เพราะบริษัทส่วนใหญ่มีกำไรเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่ความเป็นประเทศนั้น เป้าหมายสูงสุด คือ ความมั่นคงในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การต่างประเทศ ซึ่งจะต้องรักษาสมดุลให้ได้ เพื่อไม่ให้มิติใดมิติหนึ่งร่วงหล่นลงไป หรือเป็นตัวดึงถ่วงอีกมิติหนึ่ง”
“การรีเซ็ทประเทศไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนนโยบาย แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีบริหารความร่วมมือ ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชน ที่จะต้องร่วมมือ และปรับตัวไปพร้อมๆ กัน”
นายกฯอนุทินฉายภาพแผนรีเซตประเทศ 3 ด้าน “เพื่อวางรากฐานใหม่ให้กับประเทศ” ดังนี้
ด้านความมั่นคง
นายกฯบอกว่า ก่อนที่เศรษฐกิจจะเดินหรือจะวิ่งต่อไปได้ เรื่องความมั่นคงของประเทศต้องชัดเจนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ขณะนี้รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยใช้ทั้งพลังการทูต พลังทางการทหาร และพลังทางเศรษฐกิจ เพื่อนำสันติภาพกลับคืนสู่ชีวิตประชาชน “เปลี่ยนความตึงเครียดให้กลับมาเป็นความร่วมมือในอนาคตอันใกล้”
ขณะเดียวกัน จะจัดการกับปัญหาภัยสังคมที่กัดกร่อนประเทศ ทั้งยาเสพติด พนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และการหลอกลวงทางเทคโนโลยี โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ยึดหลักยุติธรรมด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม
ทั้งนี้ กระบวนการยุติธรรมที่เป็นไปตามหลักนิติธรรมนั้น จะช่วยยกระดับประเทศไทย เนื่องจากไทยอยู่ในกระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งเกณฑ์หนึ่งที่ OECD ให้ความสำคัญ คือ กระบวนการยุติธรรมที่เป็นไปตามหลักนิติธรรม จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ไทยต้องเร่งยกเครื่องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆให้ได้มาตรฐานสากล และตอบสนองต่อความต้องการของสังคมในโลกยุคปัจจุบัน
ด้านเศรษฐกิจ
นายกฯบอกว่า รัฐบาลชุดนี้กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นเรื่องสำคัญ คือ การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ ส่งเสริมภาคเกษตรกร และการสนับสนุนให้ธุรกิจ SME ฟื้นตัวได้ ในเรื่องการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชนนั้น ได้เร่งดำเนินการลดค่าครองชีพต่างๆ รวมถึงลดค่าพลังงาน ลดค่าขนส่ง รวมถึงจัดให้มีโครงการต่างๆ ให้เข้าถึงทุกชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นในราคาที่เป็นธรรม และได้ดำเนินโครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ ที่เป็นการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว ซึ่งผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว
นายกฯบอกว่า ในอีกไม่กี่สัปดาห์จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับฐานรากไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท โดยเป็นผลจากรัฐบาลใช้งบประมาณผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส 44,000 ล้านบาท และผ่านการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 20,000 กว่าล้านบาท ขณะที่ประชาชนจะใช้เงินอีกครึ่งหนึ่ง รวมเป็น 88,000 ล้านบาท เพื่อรวมกับเงินที่เติมผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนรวมกว่า 100,000 ล้านบาท
“เชื่อว่าเขาเหล่านั้นจะทำการใช้จ่ายเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนและกระจายตัวของเม็ดเงิน มั่นใจว่าจะทำให้มีการเสริมรายได้เพิ่มมากขึ้นในวงกว้าง ฝากให้ทุกท่านกระจายข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ เพราะหากเขาไม่เข้าใจ อาจทำให้เขาสูญเสียโอกาสได้” นายอนุทิน กล่าว
นอกจากนั้น นายกฯบอกว่า จะเสริมความมั่นคงทางการเกษตรและพลังงานด้วยแนวทาง smart farming โดยจะสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนในภาคครัวเรือนและภาคการเกษตร และจะบริหารราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว ที่ช่วยชาวนาและทำให้ไทยอยู่ในกติกาใหม่ของโลกไปพร้อมกัน
ส่วนเรื่องการเสริมศักยภาพของภาคเอกชนและ SME นายกฯบอกว่า รัฐบาลเข้าใจว่าภาคธุรกิจกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการค้า สงครามการค้า และความผันผวนจากตลาดโลก ดังนั้น จะต้องเร่งเจรจาข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างจริงจัง โดยการนำ AI และ Big Data มาปรับใช้ในการผลิต การค้า และการบริการ รวมถึงอุตสาหกรรมอนาคตอย่างเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และกรีนเทคโนโลยี
“วันนี้เราต้องตั้งเป้า วันนี้เราตามเวียดนาม เป็นฝันร้ายของผม ผมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะมีเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากว่าประเทศในภูมิภาคอินโดจีน พวกเราจะต้องช่วยกัน ไม่เกินความสามารถ เราอาจจะนำมาไกลมากจนเราอาจจะรู้สึกอยู่ตัวและชะลอตัว ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง มีความสุขกับสิ่งที่เป็น แต่พอเผลอแป๊บเดียว เหมือนกระต่ายกับเต่า ที่พอตื่นขึ้นมาเขาแซงไปแล้ว ดังนั้น เราจะต้องกระโดดให้ทัน ด้วยประสบการณ์พื้นฐานที่ดีของระบบเศรษฐกิจไทยที่วางรากฐานมาอย่างยาวนาน พื้นฐานโครงสร้างอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม ผมมั่นใจว่าเรายังสามารถเกิดใหม่ โตใหม่ได้ ซึ่งหวังว่าประเทศไทยของเราจะยังสามารถคงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจภูมิภาคได้ หากเราร่วมมือกัน”
นายกฯกล่าวถึงเรื่องสังคมสูงวัยและไอเดียการขยายอายุเกษียณด้วยว่า ไทยหลีกเลี่ยงสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบไม่ได้ วันนี้ประเทศไทยมีระบบประกันสุขภาพที่ดี รักษาทุกคน รักษาทุกที่ และรักษาทุกโรค แต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนที่สูง อย่างไรก็ตาม หากไทยยังมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจก็เชื่อว่ายังไปต่อได้ และคนสูงวัยจะไม่เป็นภาระของลูกหลาน เพราะเขายังพึ่งพาตนเองได้ โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนการเกษียณอายุราชการจากปัจจุบันที่ 60 ปี เป็น 65 ปี คนเพื่อให้คนสูงวัยยังมีรายได้ดูแลตัวเองได้ และเชื่อว่าภาคเอกชนก็คงระบบการรองรับการขยายอายุเกษียณเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะสังคมที่เปลี่ยนไป
“เราจะไม่ปล่อยให้เกิดวิกฤตเด็กเกิดน้อยเป็นปัญหาของเราในอนาคต โดยจะร่วมกันส่งเสริมให้เด็กไทยเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ เน้นเรื่องการศึกษา ต้องเท่าทันโลก มีโอกาสในการพัฒนาทักษะ และมีแรงบันดาลใจที่จะกลับมาช่วยพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอน”
ด้านสิ่งแวดล้อม
นายกฯกล่าวว่า โลกกำลังเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง รัฐบาลตั้งเป้าหมาย Net Zero หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2050 เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ไทยจะจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาตรฐาน ผลักดันผลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรให้ได้ตามเป้า เพื่อให้ไทยมีที่ยืนในเวทีโลก ประชากรของไทยจะได้รับการยอมรับในทุกประเทศ ไม่ให้มีการตั้งกฎเกณฑ์ที่ทำให้เราเสียเปรียบทางการค้า นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.จัดการอากาศสะอาด พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
“สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการจัดการสิ่งแวดล้อม แต่คือการลงทุนระยาว เพื่อความยั่งยืนในอนาคตของประเทศ ตามหลักของสหประชาชาติ”
ด้านดิจิทัล จะเร่งสร้างความเป็นรัฐบาลดิจิทัลเชื่อมโยงกันทุกระบบ เป็นระบบที่เชื่อมโยงกันทั้งประเทศ ซึ่งจะมีผลดี คือ ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นระบบ และจะเป็นผลบวกต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต คอรัปชั่น
“ผมมาที่ที่นี่เพื่อชักชวนทุกท่านมองอนาคตของเราด้วยกัน ไม่มีรัฐบาลใดจะรีเซตประเทศได้เพียงลำพัง เราต้องการพลังจากภาครัฐ เอกชน แรงงาน พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน รวมทั้งสื่อมวลชนด้วย ประเทศไทยไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่เราขาดระบบที่เปิดโอกาสให้ศักยภาพนั้นได้ทำงานอย่างเต็มที่ วันนี้อยากให้เรากลับมามองประเทศไทยของเราด้วยสายตาที่เป็นมิตร จริงใจซึ่งกันและกัน เราจะเห็นประเทศที่ไม่ใช่เพียงประเทศที่ต้องการฟื้นตัว แต่เป็นประเทศไทยเวอร์ชั่นที่พร้อมจะเติบโตอีกครั้งอย่างยั่งยืน และแซงเพื่อนบ้าน เป็นหนึ่งในภูมิภาคให้ได้ เราต้องตั้งเป้าหมายนี้ ไม่เกินความสามารถ ผมยืนยันอย่างมั่นใจ มั่นใจมากกว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคภูมิใจไทยอีก” นายกฯอนุทินกล่าว
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการพลังงาน ได้ฉายภาพให้เห็นนโยบายพลังงานของรัฐบาลที่ตั้งใจจะดำเนินการในช่วง 4 เดือนข้างหน้าภายใต้แนวคิด ‘Quick Big Win’
รมว.พลังงานอธิบายว่า การบริหารจัดการด้านพลังงานเป็นการบริหารจัดการ 3 ด้านให้สมดุล คือ ต้องมั่นคง มีเพียงพอ ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานที่สะอาดขึ้น และต้องเป็นราคาที่ประชาชนเข้าถึงได้
“นโยบายด้านพลังงานมีสามส่วน คือ ลดราคาพลังงาน ส่งเสริมการผลิตและใช้พลังงานแสงอาทิตย์สร้างรายได้ให้กับประชาชนและชุมชน โดยในระยะสั้นนี้ พยายามจะไม่สร้างความกังวลหรือสร้างภาระเพิ่มให้ประชาชน จะตรึงราคาพลังงานที่จำเป็นทั้งหมด และถ้ามีโอกาสพอจะลดได้ก็จะลด”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานฉายภาพว่า นโยบายพลังงานประกอบด้วย 3 กลุ่มโครงการใหญ่ ได้แก่
1. โครงการส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับประชาชน
2. โครงการส่งเสริมพลังงานสำหรับภาคอุตสาหกรรม
3. โครงการที่สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ปี 2050
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมากๆ ใน 4 เรื่อง
เรื่องหนึ่ง คือ โลกเปลี่ยนจากโลกการค้าเสรีเป็นโลกเลือกข้าง เศรษฐกิจของประเทศไทยเคยเติบโตด้วยการคว้าโอกาสจากการค้าเสรี โดยไทยได้เข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของหลายๆ สินค้า แต่การค้าเสรีกำลังเปลี่ยนเป็นโลกที่บังคับให้เลือกข้าง การส่งออกต้องตรวจสอบที่มาของสินค้าและส่วนประกอบอย่างเข้มข้น
เรื่องที่สอง คือ โลกเป็นสังคมผู้สูงอายุ ปัจจุบันทั่วโลกมีประชากรอายุมากกว่า 60 ปี คิดเป็นสัดส่วน 15% แต่ประเทศไทยมี 20% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ซึ่งสังคมสูงอายุทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน และปัญหาของไทยคือคนไทยจนก่อนแก่ ซึ่งภาครัฐจะต้องรับภาระทางการคลังของรัฐ จึงเป็นโจทย์ว่าไทยต้องอัพสกิล-รีสกิลให้คนอายุเกิน 60 ปี เพื่อให้ยังสามารถทำงานต่อได้
เรื่องที่สาม คือ โลกเปลี่ยนจากโลก analog เป็น digital และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม เพราะคนไทยจำนวนมากยังตามไม่ทันเทคโนโลยี ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีต่างๆ ให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ตนเองได้ ขณะที่คนที่ใช้ประโยชน์เป็นจะยิ่งทิ้งห่างออกไป
เรื่องที่สี่ คือ การพยายามเปลี่ยนโลกร้อนให้เป็นโลกสีเขียว ดังนั้น โลกจะมีกติกาสีเขียวมากขึ้น ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ถ้าเราสามารถเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนสีเขียวได้ จะเป็นโอกาส แต่ถ้าเข้าไปไม่ได้จะเป็นความเสี่ยง เพราะจะทำการค้าและหาแหล่งทุนยากขึ้น
“โลกเปลี่ยนไปมาก แล้วประเทศไทยจะไปทางไหน วันนี้อยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ก่อนปี 2540 เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 7% หลังปี 40 โตเฉลี่ย 3% นับจากปี 60 ถึงปัจจุบัน โตไม่ถึง 2% โตต่ำลงมากเรื่อยๆ เพราะเราไม่ได้ลงทุนมานาน ก่อนปี 40 ทั้งภาครัฐและเอกชนเราลงทุนประมาณ 40% ของจีดีพี การลงทุนมันดี เพราะเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต แต่หลังปี 40 เราลงทุน 23% ของจีดีพี แล้วเราจะเอาอะไรไปโต
“เศรษฐกิจไทยโตต่ำลงเรื่อยๆ เพราะไม่มีเครื่องจักรทันสมัย ไม่มีการลงทุนมานาน และแรงงานไทยขาดทักษะมาก คนไทยนอกจากเกิดน้อยแล้วยังเรียนไม่ตรงความต้องการของตลาดด้วย”
“รัฐบาลมีเวลาจำกัดแค่ 4 เดือน แต่ 4 เดือนไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้”
รมว.คลังอธิบายว่า แนวนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจะดำเนินการชุดนโยบาย ‘Big Quick Win’ โดยใช้หลัก “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” รัฐบาลต้องใช้เครื่องยนต์เดียวที่เหลือ คือ การใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชน โดยจะทำให้ได้ผลยาว กระจาย และโปร่งใส คำนึงถึงวินัยการคลัง ซึ่งประกอบด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่
เสาที่ 1 กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
เสาที่ 2 แก้หนี้ประชาชน โดยเฉพาะการแก้หนี้เสีย (NPL) โดยรัฐบาลจะนำเงินคงเหลือจากกองทุนฟื้นฟูและสถาบันการเงินประมาณ 26,000 ล้านบาท มาจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) ร่วมกับธนาคาร เพื่อซื้อหนี้เสียของประชาชนออกมาบริหาร จากนั้นจะทำการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ยืดระยะเวลาผ่อน ลดดอกเบี้ย เพื่อให้ลูกหนี้สามารถกลับมาหายใจได้อีกครั้ง
เสาที่ 3 การช่วยเหลือธุรกิจ SME ซึ่งจะทำโดย
เสาที่ 4 เพิ่มการออมภาคประชาชน โดยทำสลากเพื่อการออม โดยจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากการซื้อทุกครั้งเข้าบัญชีเงินออมโดยอัตโนมัติ ผู้ซื้อจะสามารถนำเงินออกมาใช้ได้เมื่อมีอายุครบ 55 ปี สำหรับผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไปต้องถือครองครบ 5 ปี
เสาที่ 5 สร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ปลดล็อกการลงทุนที่ค้างท่อ
รองนายกฯ และ รมว.คลังย้ำว่า ทั้ง 5 เสาหลักนี้จะดำเนินการบนพื้นฐานของการมีวินัยทางการคลัง ในเดือนพฤศจิกายนนี้จะทำกรอบวินัยทางการคลัง (Medium-term fiscal framework) ซึ่งจะเผยให้สถาบันจัดอันดับเครดิตเห็นว่าไทยมีแผนการหารายได้ การใช้จ่าย และการบริหารหนี้สาธารณะอย่างไร ทั้งนี้ เชื่อว่าการเปิดเผยอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้
“ผมและทีมเศรษฐกิจมั่นใจว่าภายใน 4 เดือนเราจะดันเศรษฐกิจไทยให้ไม่ติดลบได้ และจะบอกทุกคนในระยะยาวด้วยว่า เมืองไทยมีศักยภาพ และพร้อมที่จะก้าวต่อไป”