Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
อนุทินประกาศรีเซตประเทศ ดรีมทีมฉายภาพอนาคตการคลัง-พลังงาน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

อนุทินประกาศรีเซตประเทศ ดรีมทีมฉายภาพอนาคตการคลัง-พลังงาน

8 ต.ค. 68
21:08 น.
แชร์

ท่ามกลางโลกที่ผันผวน ประเทศไทยจะเดินไปทางไหน เดินอย่างไร ? 

อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำทีมเศรษฐกิจรัฐบาลไปตอบคำถามนี้ในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ในวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ณ โรงละครอักษรา คิงเพาเวอร์ รางน้ำ 

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ “THE FUTURE DIRECTION OF THAILAND 2025 : เมื่อโลกเปลี่ยน...ประเทศไทยไปทางไหน ?” ว่า รัฐบาลนี้จะรีเซตโครงสร้างประเทศไทยใน 3 ด้าน ประกอบด้วย ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

จากนั้น อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาฉายภาพอนาคตพลังงาน และเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาฉายภาพอนาคตการคลังของไทย 

อนุทินชี้ไทยต้องวางรากฐานประเทศใหม่ 

อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่มีความท้าทายที่สุดของประเทศไทย ที่พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนกำลังตั้งคำถามว่าประเทศไทยจะไปทางไหนต่อ เราจะรอดหรือไม่กับสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ปีหน้าจะมีวิกฤติอะไรอีกหรือไม่ จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ บัณฑิตจบใหม่จะมีงานทำหรือไม่ คนรุ่นใหม่จะกล้ามีลูกกันไหม ใครจะเลี้ยงดูพวกเราตอนแก่ 

“ต้องยอมรับว่า โลกทุกวันนี้อยู่ยากกว่าที่ผ่านมาสมัยที่พวกเราเด็กและเติบโตขึ้นมา มีทั้งสงคราม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคอุบัติใหม่ ซึ่งมีแค่คำว่าสงครามเท่านั้นที่เราคุ้นชิน คำอื่นล้วนเป็นคำใหม่ มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ที่ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อโลกของเรา และยังมีการปฏิวัติทางเทคโนโลยี นวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI (ปัญญาประดิษฐ์) 

“ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน และกำลังเปลี่ยนรูปเศรษฐกิจของโลก งานที่เคยมีก็หายไป วิชาที่เคยเรียนอาจจะเอากลับมาใช้ไม่ได้ ประเทศที่ปรับตัวช้าจะไม่เพียงแต่สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่จะสูญเสียอำนาจต่อรองในเวทีโลกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก” 

ด้วยความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ นายกรัฐมนตรีมองว่า การรีเซตโครงสร้างและฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นโจทย์ที่สะท้อนความเป็นจริงที่ว่าเราต้องมีการปรับระบบเดิมที่ไม่ตอบโจทย์ต่ออนาคตอีกต่อไป และวางรากฐานใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปต่อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจ

“คำว่ารีเซต หมายถึงรีเซตวิธีคิดของเรา เราต้องกลับมาทบทวนสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวัน แล้วกลับมาถามว่ามันยังจำเป็นไหม ยังได้ผลไหม ยังเหมาะกับการเปลี่ยนแปลงไปของโลกหรือไม่ เมื่อ 20 ปีก่อน ผมอยู่ในภาคธุรกิจ ผมได้เห็นองค์กรที่เติบโตเพราะกล้าปรับ และองค์กรที่ล่มสลายเพราะปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง สิ่งเราคิดว่าจะไม่มีวันเจ๊ง ก็เจ๊งไปเยอะเลย และสิ่งที่เราคิดว่าไม่น่าจะโตได้ก็โตขึ้นมาแบบทวีคูณ ทางการเมืองก็เช่นกัน พรรคการเมืองไหนไม่ปรับตัวก็ถูกเรียกว่าเป็นพรรคไดโนเสาร์ และในที่สุดก็ล้มหายตายจากไป 

“ระบบที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลก วันนี้ประเทศไทยต้องคิดเหมือนองค์กรที่เปลี่ยนระบบการทำงานทั้งโครงสร้าง แต่ความเป็นประเทศต่างจากความเป็นบริษัท เพราะบริษัทส่วนใหญ่มีกำไรเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่ความเป็นประเทศนั้น เป้าหมายสูงสุด คือ ความมั่นคงในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การต่างประเทศ ซึ่งจะต้องรักษาสมดุลให้ได้ เพื่อไม่ให้มิติใดมิติหนึ่งร่วงหล่นลงไป หรือเป็นตัวดึงถ่วงอีกมิติหนึ่ง”  

“การรีเซ็ทประเทศไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนนโยบาย แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีบริหารความร่วมมือ ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชน ที่จะต้องร่วมมือ และปรับตัวไปพร้อมๆ กัน” 

แผนรีเซตประเทศ 3 ด้าน 

นายกฯอนุทินฉายภาพแผนรีเซตประเทศ 3 ด้าน “เพื่อวางรากฐานใหม่ให้กับประเทศ” ดังนี้

ด้านความมั่นคง 

นายกฯบอกว่า ก่อนที่เศรษฐกิจจะเดินหรือจะวิ่งต่อไปได้ เรื่องความมั่นคงของประเทศต้องชัดเจนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ขณะนี้รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยใช้ทั้งพลังการทูต พลังทางการทหาร และพลังทางเศรษฐกิจ เพื่อนำสันติภาพกลับคืนสู่ชีวิตประชาชน “เปลี่ยนความตึงเครียดให้กลับมาเป็นความร่วมมือในอนาคตอันใกล้”

ขณะเดียวกัน จะจัดการกับปัญหาภัยสังคมที่กัดกร่อนประเทศ ทั้งยาเสพติด พนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และการหลอกลวงทางเทคโนโลยี โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ยึดหลักยุติธรรมด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม 

ทั้งนี้ กระบวนการยุติธรรมที่เป็นไปตามหลักนิติธรรมนั้น จะช่วยยกระดับประเทศไทย เนื่องจากไทยอยู่ในกระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งเกณฑ์หนึ่งที่ OECD ให้ความสำคัญ คือ กระบวนการยุติธรรมที่เป็นไปตามหลักนิติธรรม จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ไทยต้องเร่งยกเครื่องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆให้ได้มาตรฐานสากล และตอบสนองต่อความต้องการของสังคมในโลกยุคปัจจุบัน 

ด้านเศรษฐกิจ 

นายกฯบอกว่า รัฐบาลชุดนี้กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นเรื่องสำคัญ คือ การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ ส่งเสริมภาคเกษตรกร และการสนับสนุนให้ธุรกิจ SME ฟื้นตัวได้ ในเรื่องการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชนนั้น ได้เร่งดำเนินการลดค่าครองชีพต่างๆ รวมถึงลดค่าพลังงาน ลดค่าขนส่ง รวมถึงจัดให้มีโครงการต่างๆ ให้เข้าถึงทุกชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นในราคาที่เป็นธรรม และได้ดำเนินโครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ ที่เป็นการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว ซึ่งผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว 

นายกฯบอกว่า ในอีกไม่กี่สัปดาห์จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับฐานรากไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท โดยเป็นผลจากรัฐบาลใช้งบประมาณผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส 44,000 ล้านบาท และผ่านการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 20,000 กว่าล้านบาท ขณะที่ประชาชนจะใช้เงินอีกครึ่งหนึ่ง รวมเป็น 88,000 ล้านบาท เพื่อรวมกับเงินที่เติมผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนรวมกว่า 100,000 ล้านบาท 

“เชื่อว่าเขาเหล่านั้นจะทำการใช้จ่ายเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนและกระจายตัวของเม็ดเงิน มั่นใจว่าจะทำให้มีการเสริมรายได้เพิ่มมากขึ้นในวงกว้าง ฝากให้ทุกท่านกระจายข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ เพราะหากเขาไม่เข้าใจ อาจทำให้เขาสูญเสียโอกาสได้” นายอนุทิน กล่าว 

นอกจากนั้น นายกฯบอกว่า จะเสริมความมั่นคงทางการเกษตรและพลังงานด้วยแนวทาง smart farming  โดยจะสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนในภาคครัวเรือนและภาคการเกษตร และจะบริหารราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว ที่ช่วยชาวนาและทำให้ไทยอยู่ในกติกาใหม่ของโลกไปพร้อมกัน 

ส่วนเรื่องการเสริมศักยภาพของภาคเอกชนและ SME นายกฯบอกว่า รัฐบาลเข้าใจว่าภาคธุรกิจกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการค้า สงครามการค้า และความผันผวนจากตลาดโลก ดังนั้น จะต้องเร่งเจรจาข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างจริงจัง โดยการนำ AI และ Big Data มาปรับใช้ในการผลิต การค้า และการบริการ รวมถึงอุตสาหกรรมอนาคตอย่างเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และกรีนเทคโนโลยี 

“วันนี้เราต้องตั้งเป้า วันนี้เราตามเวียดนาม เป็นฝันร้ายของผม ผมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะมีเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากว่าประเทศในภูมิภาคอินโดจีน พวกเราจะต้องช่วยกัน ไม่เกินความสามารถ เราอาจจะนำมาไกลมากจนเราอาจจะรู้สึกอยู่ตัวและชะลอตัว ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง มีความสุขกับสิ่งที่เป็น แต่พอเผลอแป๊บเดียว เหมือนกระต่ายกับเต่า ที่พอตื่นขึ้นมาเขาแซงไปแล้ว ดังนั้น เราจะต้องกระโดดให้ทัน ด้วยประสบการณ์พื้นฐานที่ดีของระบบเศรษฐกิจไทยที่วางรากฐานมาอย่างยาวนาน พื้นฐานโครงสร้างอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม ผมมั่นใจว่าเรายังสามารถเกิดใหม่ โตใหม่ได้ ซึ่งหวังว่าประเทศไทยของเราจะยังสามารถคงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจภูมิภาคได้ หากเราร่วมมือกัน”

นายกฯกล่าวถึงเรื่องสังคมสูงวัยและไอเดียการขยายอายุเกษียณด้วยว่า ไทยหลีกเลี่ยงสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบไม่ได้ วันนี้ประเทศไทยมีระบบประกันสุขภาพที่ดี รักษาทุกคน รักษาทุกที่ และรักษาทุกโรค แต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนที่สูง อย่างไรก็ตาม หากไทยยังมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจก็เชื่อว่ายังไปต่อได้ และคนสูงวัยจะไม่เป็นภาระของลูกหลาน เพราะเขายังพึ่งพาตนเองได้ โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนการเกษียณอายุราชการจากปัจจุบันที่ 60 ปี เป็น 65 ปี คนเพื่อให้คนสูงวัยยังมีรายได้ดูแลตัวเองได้ และเชื่อว่าภาคเอกชนก็คงระบบการรองรับการขยายอายุเกษียณเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะสังคมที่เปลี่ยนไป

“เราจะไม่ปล่อยให้เกิดวิกฤตเด็กเกิดน้อยเป็นปัญหาของเราในอนาคต โดยจะร่วมกันส่งเสริมให้เด็กไทยเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ เน้นเรื่องการศึกษา ต้องเท่าทันโลก มีโอกาสในการพัฒนาทักษะ และมีแรงบันดาลใจที่จะกลับมาช่วยพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอน”

ด้านสิ่งแวดล้อม 

นายกฯกล่าวว่า โลกกำลังเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง รัฐบาลตั้งเป้าหมาย Net Zero หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2050 เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ไทยจะจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาตรฐาน ผลักดันผลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรให้ได้ตามเป้า เพื่อให้ไทยมีที่ยืนในเวทีโลก ประชากรของไทยจะได้รับการยอมรับในทุกประเทศ ไม่ให้มีการตั้งกฎเกณฑ์ที่ทำให้เราเสียเปรียบทางการค้า นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.จัดการอากาศสะอาด พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

“สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการจัดการสิ่งแวดล้อม แต่คือการลงทุนระยาว เพื่อความยั่งยืนในอนาคตของประเทศ ตามหลักของสหประชาชาติ” 

ด้านดิจิทัล จะเร่งสร้างความเป็นรัฐบาลดิจิทัลเชื่อมโยงกันทุกระบบ เป็นระบบที่เชื่อมโยงกันทั้งประเทศ ซึ่งจะมีผลดี คือ ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นระบบ และจะเป็นผลบวกต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต คอรัปชั่น 

“ผมมาที่ที่นี่เพื่อชักชวนทุกท่านมองอนาคตของเราด้วยกัน ไม่มีรัฐบาลใดจะรีเซตประเทศได้เพียงลำพัง เราต้องการพลังจากภาครัฐ เอกชน แรงงาน พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน รวมทั้งสื่อมวลชนด้วย ประเทศไทยไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่เราขาดระบบที่เปิดโอกาสให้ศักยภาพนั้นได้ทำงานอย่างเต็มที่ วันนี้อยากให้เรากลับมามองประเทศไทยของเราด้วยสายตาที่เป็นมิตร จริงใจซึ่งกันและกัน เราจะเห็นประเทศที่ไม่ใช่เพียงประเทศที่ต้องการฟื้นตัว แต่เป็นประเทศไทยเวอร์ชั่นที่พร้อมจะเติบโตอีกครั้งอย่างยั่งยืน และแซงเพื่อนบ้าน เป็นหนึ่งในภูมิภาคให้ได้ เราต้องตั้งเป้าหมายนี้ ไม่เกินความสามารถ ผมยืนยันอย่างมั่นใจ มั่นใจมากกว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคภูมิใจไทยอีก” นายกฯอนุทินกล่าว 

อรรถพลฉายภาพ ‘อนาคตพลังงาน’ ในมือรัฐบาลถูมิใจไทย

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการพลังงาน ได้ฉายภาพให้เห็นนโยบายพลังงานของรัฐบาลที่ตั้งใจจะดำเนินการในช่วง 4 เดือนข้างหน้าภายใต้แนวคิด ‘Quick Big Win’ 

รมว.พลังงานอธิบายว่า การบริหารจัดการด้านพลังงานเป็นการบริหารจัดการ 3 ด้านให้สมดุล คือ ต้องมั่นคง มีเพียงพอ ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานที่สะอาดขึ้น และต้องเป็นราคาที่ประชาชนเข้าถึงได้ 

“นโยบายด้านพลังงานมีสามส่วน คือ ลดราคาพลังงาน ส่งเสริมการผลิตและใช้พลังงานแสงอาทิตย์สร้างรายได้ให้กับประชาชนและชุมชน โดยในระยะสั้นนี้ พยายามจะไม่สร้างความกังวลหรือสร้างภาระเพิ่มให้ประชาชน จะตรึงราคาพลังงานที่จำเป็นทั้งหมด และถ้ามีโอกาสพอจะลดได้ก็จะลด”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานฉายภาพว่า นโยบายพลังงานประกอบด้วย 3 กลุ่มโครงการใหญ่ ได้แก่ 

1. โครงการส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับประชาชน 

  • โซลาร์ฟาร์มชุมชน เป้าหมายกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนได้กว่า 30,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 1,600 ตำแหน่ง 
  • โซลาร์สูบน้ำเพื่อเกษตรกร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7 แสนไร่ทั่วประเทศ คาดว่าจะเกิดเม็ดเงินผ่านการลงทุนกว่า 12,500 ล้านบาท ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ 87.5 เมกะวัตต์ 
  • ลดหย่อนภาษีสำหรับการติดตั้งโซลาร์ในครัวเรือน คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วม 90,000 ครัวเรือน กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุน ได้กว่า 20,250 ล้านบาท
  • เร่งอนุมัติการผลิตไฟฟ้าลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของ กฟผ. (เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์) ซึ่งมีต้นทุนต่ำ

2. โครงการส่งเสริมพลังงานสำหรับภาคอุตสาหกรรม 

  • เร่งดำเนินการ “โครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรง” (Direct PPA) สำหรับธุรกิจ Data Center
  • การพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับอุตสาหกรรมภาคตะวันออก 
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม

3. โครงการที่สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ปี 2050 

  • โครงการโซลาร์ภาคประชาชน สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ 1.96 ล้านตันคาร์บอนต่อปี
  • เร่งการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) 
  • การเริ่มต้นโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ซึ่งโครงการ CCS ในอ่าวไทยจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่า 230 ล้านตันคาร์บอนต่อปี 

เอกนิติย้ำภาพการคลัง ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีวินัย

เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมากๆ ใน 4 เรื่อง

เรื่องหนึ่ง คือ เปลี่ยนจากโลกการค้าเสรีเป็นโลกที่เลือกข้าง เศรษฐกิจของประเทศไทยเคยคว้าโอกกาสจากการค้าเสรี โดยไทยได้เข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของหลายๆ สินค้า แต่การค้าเสรีกำลังเปลี่ยนเป็นโลกที่บังคับให้เลือกข้าง การส่งออกต้องตรวจสอบที่มาของสินค้าและส่วนประกอบอย่างเข้มข้น

เรื่องที่สอง คือ โลกเป็นสังคมผู้สูงอายุ ปัจจุบัน ทั่วโลกมีประชากรอายุมากกว่า 60 ปี คิดเป็นสัดส่วน 15% แต่ประเทศไทยมี 20% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ซึ่งสังคมสูงอายุทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน และปัญหาของไทยคือคนไทยจนก่อนแก่ ซึ่งภาครัฐจะต้องรับภาระทางการคลังของรัฐ จึงเป็นโจทย์ว่าคนไทยต้องอัพสกิล-รีสกิล และขยายเวลาการจ้างงานคนอายุเกิน 60 ปี 

เรื่องที่สาม คือ โลกเปลี่ยนจากโลก analog เป็น digital 

เรื่องที่สี่ คือ การพยายามเปลี่ยนโลกร้อนเป็นโลกสีเขียว โลกจะมีกติกาสีเขียวมากขึ้น ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ถ้าเราสามารถเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนสีเขียวได้ จะเป็นโอกาส แต่ถ้าเข้าไปไม่ได้จะเป็นความเสี่ยง เพราะจะทำการค้าและหาแหล่งทุนยากขึ้น 

“โลกเปลี่ยนไปมาก แล้วประเทศไทยจะไปทางไหน วันนี้อยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ก่อนปี 2540 เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 7% หลังปี 40 โตเฉลี่ย 3% นับจากปี 60 ถึงปัจจุบัน โตไม่ถึง 2% โตต่ำลงมากเรื่อยๆ เพราะเราไม่ได้ลงทุนมานาน ก่อนปี 40 ทั้งภาครัฐและเอกชนเราลงทุนประมาณ 40% ของจีดีพี การลงทุนมันดี เพราะเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต แต่หลังปี 40 เราลงทุน 23% ของจีดีพี แล้วเราจะเอาอะไรไปโต

“เศรษฐกิจไทยโตต่ำลงเรื่อยๆ เพราะไม่มีเครื่องจักรทันสมัย ไม่มีการลงทุนมานาน และแรงงานไทยขาดทักษะมาก คนไทยนอกจากเกิดน้อยแล้วยังเรียนไม่ตรงความต้องการของตลาดด้วย” 

“รัฐบาลมีเวลาจำกัดแค่ 4 เดือน แต่ 4 เดือนไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้”

รมว.คลังกล่าวว่า แนวนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจะดำเนินการชุดนโยบาย ‘Big Quick Win’ โดยใช้หลัก “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” รัฐบาลต้องใช้เครื่องยนต์เดียวที่เหลือ คือ การใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชน โดยจะทำให้ได้ผลยาว กระจาย และโปร่งใส คำนึงถึงวินัยการคลัง ซึ่งประกอบด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่ 

เสาที่ 1 กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว 

  • โครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ ซึ่งรัฐจ่ายให้คนที่อยู่ในระบบภาษีมากกว่าคนที่ไม่ได้อยู่ 20%
  • โครงการเพิ่มเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 
  • กระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง ให้ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สำหรับการพัฒนาปรับปรุงตกแต่งโรงแรมในเมืองรอง

เสาที่สอง 2 แก้หนี้ประชาชนโดยเฉพาะการแก้หนี้เสียภาคครัวเรือน (NPL) โดย รัฐบาลจะนำเงินคงเหลือจากกองทุนฟื้นฟูและสถาบันการเงินประมาณ 26,000 ล้านบาท มาจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) ร่วมกับธนาคาร เพื่อซื้อหนี้เสียของประชาชนออกมาบริหาร จากนั้นจะทำการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ยืดระยะเวลาผ่อน ลดดอกเบี้ย เพื่อให้ลูกหนี้สามารถกลับมาหายใจได้อีกครั้ง 

เสาที่ 3 การช่วยเหลือธุรกิจ SME 

  • การค้ำประกันสินเชื่อ โดยใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อในวงเงินขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท 
  • การคืนภาษีเร่งด่วน โดยให้กรมสรรพากรเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งมีเงินที่สามารถคืนได้ทันทีกว่า 160,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ 
  • โครงการพี่ช่วยน้อง ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทขนาดใหญ่ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน

เสาที่ 4 เพิ่มการออมภาคประชาชน โดยทำสลากเพื่อการออม โดยจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากการซื้อทุกครั้งเข้าบัญชีเงินออมโดยอัตโนมัติ ผู้ซื้อจะสามารถนำเงินออกมาใช้ได้เมื่อมีอายุครบ 55 ปี สำหรับผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไปต้องถือครองครบ 5 ปี 

เสาที่ 5 สร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ปลดล็อกการลงทุนที่ค้างท่อ

  • ลงทุนเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศระยะยาว
  • เร่งอำนวยความสะดวการการลงทุน ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI แล้วแต่ยังไม่เริ่มลงทุนสูงถึง 470,000 ล้านบาท เนื่องจากติดปัญหาด้านการขออนุญาตในเรื่องต่างๆ รัฐบาลจะจัดทำ ‘Fast Pass’ เป็นช่องทางด่วนเพื่อเร่งรัดการอนุมัติทั้งหมดให้เกิดขึ้นภายใน 4 เดือน 
  • สนับสนุนการ reskill แรงงาน โดยจะนำเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถของ BOI จำนวน 10,000 ล้านบาท มาจับมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เกษตรชีวภาพ และดิจิทัล

รองนายกฯ และ รมว.คลังย้ำว่า ทั้ง 5 เสาหลักนี้จะดำเนินการบนพื้นฐานการมีวินัยทางการคลัง ในเดือนพฤศจิกายนนี้จะทำกรอบวินัยทางการคลัง (Medium-term fiscal framework) ซึ่งจะเผยให้สถาบันจัดอันดับเครดิตเห็นว่าไทยมีแผนการหารายได้ การใช้จ่าย และการบริหารหนี้สาธารณะอย่างไร ทั้งนี้ เชื่อว่าการเปิดเผยอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้

“ผมและทีมเศรษฐกิจมั่นใจว่าภายใน 4 เดือนเราจะดันเศรษฐกิจไทยให้ไม่ติดลบได้ และจะบอกทุกคนในระยะยาวด้วยว่า เมืองไทยมีศักยภาพ และพร้อมที่จะก้าวต่อไป” 

แชร์
อนุทินประกาศรีเซตประเทศ ดรีมทีมฉายภาพอนาคตการคลัง-พลังงาน