Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
กสิกรชี้ “คนละครึ่งพลัส” หนุนจับจ่ายได้ระยะสั้น แต่แรงซื้อยังต่ำยาว
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

กสิกรชี้ “คนละครึ่งพลัส” หนุนจับจ่ายได้ระยะสั้น แต่แรงซื้อยังต่ำยาว

8 ต.ค. 68
12:41 น.
แชร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” และ “เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Big Win) ของรัฐบาล จะช่วยหนุนยอดขายค้าปลีกไทยในปี 2568 ให้เติบโตได้เพิ่มขึ้นจากคาดเดิม 0.3% หรือขยายตัวรวม 3.1% จากเดิมที่คาดไว้ 2.8%

มาตรการดังกล่าวมีกรอบวงเงินรวมประมาณ 66,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการให้เงินแก่ประชาชนที่อยู่ในฐานระบบภาษี 9 ล้านคน นอกระบบภาษี 11 ล้านคน และการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 13 ล้านคน รวมกลุ่มเป้าหมายกว่า 33 ล้านราย โดยผู้ได้รับสิทธิ์สามารถใช้จ่ายได้ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม- 31 ธันวาคม 2568 ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของผู้บริโภคในช่วงปลายปี และเป็นแรงกระตุ้นชั่วคราวให้กับธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ

ผลของมาตรการต่อการค้าปลีกในไตรมาส 4/2568

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐชุดนี้จะหนุนการใช้จ่ายของธุรกิจค้าปลีกในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 ให้เพิ่มขึ้นประมาณ 0.3% เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีมาตรการ โดยประเมินจากอัตราการบริโภคส่วนเพิ่ม (Marginal Propensity to Consume: MPC) ที่ประมาณ 0.3 บาทต่อรายได้เพิ่มขึ้น 1 บาท ภายใต้สมมติฐานว่าการใช้จ่ายส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่มาตรการเปิดให้ใช้ (ปลายเดือนตุลาคมถึงสิ้นปี) และครอบคลุมกรอบวงเงิน 66,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ผลกระตุ้นที่เกิดขึ้นยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้เงินจากภาครัฐแทนเงินของตนเองมากกว่าการเพิ่มการใช้จ่ายใหม่ ขณะเดียวกันยอดขายค้าปลีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีมักปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่แล้วจากปัจจัยฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้บริโภควางแผนใช้จ่ายล่วงหน้าในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ส่วนตัว ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็นกว่า 80% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมด

ดังนั้น แม้มาตรการดังกล่าวจะช่วยพยุงยอดขายสินค้าในหมวดจำเป็นให้ขยายตัวต่อเนื่อง แต่แรงหนุนโดยรวมต่อการค้าปลีกยังจำกัด เนื่องจากภาระค่าครองชีพของครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่ผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายด้วยความระมัดระวัง

กระตุ้นได้แค่ระยะสั้น กำลังซือ้ไม่ฟื้น แข่งขันสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้อาจมีผลดีในระยะสั้น โดยช่วยสร้างบรรยากาศการใช้จ่ายที่คึกคักขึ้นในช่วงปลายปี แต่เมื่อสิ้นสุดมาตรการ ธุรกิจค้าปลีกยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายด้าน

1. กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retail Sentiment Index: RSI) เดือนกันยายน 2568 ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ของปี ซึ่งสะท้อนว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมองว่ากำลังซื้อและสภาพเศรษฐกิจยังอ่อนแอ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า (Business Sentiment Index: BSI) แม้จะขยับขึ้นเหนือระดับ 50 เพียงเล็กน้อย แต่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales Growth: SSSG) ในไตรมาส 3/2568 ของผู้ประกอบการค้าปลีกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย วัสดุก่อสร้าง ของตกแต่งบ้าน และของใช้จำเป็น ยังคงมีแนวโน้มหดตัวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.0% ต่อเนื่องจากไตรมาส 2/2568 แสดงให้เห็นว่าผลประกอบการยังคงเผชิญแรงกดดันจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังระมัดระวังและไม่กลับสู่ระดับปกติ

2. การแข่งขันรุนแรงและแรงกดดันจากสินค้านำเข้า

ธุรกิจค้าปลีกไทยยังคงเผชิญการแข่งขันสูงจากจำนวนผู้ประกอบการในประเทศกว่า 1.2 ล้านราย ซึ่งเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 1% หรือราว 13,000 รายต่อปี นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญการแข่งขันจากสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจากจีนซึ่งมีแนวโน้มทะลักเข้ามามากขึ้นจากผลของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ผู้ส่งออกจีนเร่งระบายสินค้าสู่ตลาดอื่น

ข้อมูลในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ระบุว่า ไทยมีมูลค่านำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนสูงถึง 360,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 42% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการค้าปลีกไทยต้องรับมือกับการแข่งขันด้านราคาและต้นทุนจากสินค้านำเข้าราคาต่ำ

โดยสรุป มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” และ “เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” จะช่วยพยุงการบริโภคในช่วงสั้น และสร้างแรงหนุนต่อบรรยากาศการค้าปลีกในไตรมาส 4 ปี 2568 ให้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่แรงขับเคลื่อนโดยรวมยังจำกัด เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ภายใต้ภาระค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกยังต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงในตลาดภายในประเทศและแรงกดดันจากสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง.


แชร์
กสิกรชี้ “คนละครึ่งพลัส” หนุนจับจ่ายได้ระยะสั้น แต่แรงซื้อยังต่ำยาว