Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เอกนิติชู ‘GDP+ESG’ หลักคิดนโยบายเศรษฐกิจในบริบทโลกเปลี่ยน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

เอกนิติชู ‘GDP+ESG’ หลักคิดนโยบายเศรษฐกิจในบริบทโลกเปลี่ยน

4 ต.ค. 68
15:26 น.
แชร์

ในบริบทโลกที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัว แต่ภาครัฐซึ่งเป็นผู้บริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคก็ต้องปรับตัวไม่น้อยไปกว่ากัน 

แล้วเศรษฐกิจมหภาคของไทยจะต้องปรับตัวอย่างไร ? 

คนที่ให้คำตอบนี้ได้ดีที่สุดในเวลานี้ก็คือ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้แสดงวิสัยทัศน์และเผยแผนการดำเนินนโยบายผ่านการกล่าวปาฐกถาหัวข้อ “การปรับตัวของเศรษฐกิจมหภาคในบริบทใหม่ของโลก” เปิดการประชุม TSCN Business Partner Conference 2025 ในวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ในมหกรรมด้านความยั่งยืนสุดยิ่งใหญ่ Sustainability Expo 2025 (SX2025) ณ​ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

บริบทโลกเปลี่ยน 4 เรื่อง เป็น 4 โจทย์การปรับตัว   

รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า การจะปรับตัวของเศรษฐกิจมหภาคในบริบทใหม่ของโลก ต้องเข้าใจว่าโลกเปลี่ยนไปอย่างไร ทั้งนี้ บริบทใหม่ของโลกมี 4 เรื่องใหญ่ๆ ที่ทุกคนต้องตระหนักและเตรียมปรับตัว ดังนี้ 

เรื่องที่หนึ่ง: เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของโลก จากที่เคยเป็นโลกการค้าเสรี ซึ่งเกิดขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มีการก่อตั้งองค์การการค้าโลก (World Trade Organizatio: WTO) เพื่อต้องการส่งเสริมการค้าเสรี ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายสินค้า ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายการลงทุน ส่งเสริมการบริการต่างๆ โลกเปิดเสรีมากขึ้น โดยมีหลักการว่าใครผลิตอะไรเก่งก็ผลิตสินค้านั้น แล้วนำมาแลกเปลี่ยนกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นโลกที่เลือกข้าง เพราะฉะนั้นทุกคนต้องปรับตัว  

“เศรษฐกิจไทยเติบโตมาได้ส่วนหนึ่งเพราะอาศัยซัพพลายเชนของโลก การพัฒนาเศรษฐกิจไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เราลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน มีโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) มีท่าเรือแหลมฉบัง มีน้ำมีไฟ มีท่าเรือมาบตาพุด เกิดปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมต่างๆ ผู้ผลิตต่างๆ ย้ายการลงทุนมาที่ไทย เพราะว่าไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม ประเทศไทยได้คว้าโอกาสในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพวกเราหลายคนในหลายเซกเตอร์ และซัพพลายเชนได้พัฒนามาไปสู่ SME ของไทย 

“นั่นคือโลก Globalization หรือกระแสโลกาภิวัฒน์ที่ฮิตมากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ใครคว้าโอกาสนี้ได้เร็วเท่าไหร่ก็จะเจริญเติบโตได้เร็ว แต่วันนี้โลกเปลี่ยนอย่างรุนแรง วันนี้ไม่ใช่ Globalization แต่เป็น Localization จากเดิมที่เป็นโลกเสรี วันนี้เป็นโลกเลือกข้าง เราโดนบีบให้ต้องเลือกข้างระหว่างขั้วเศรษฐกิจของโลก เพราะฉะนั้น เราทุกคนก็ต้องปรับ จากเดิมซัพพลายเชนที่ไหนถูกที่สุดเรานำเข้ามา แต่ในวันนี้ สิ่งที่ถูกที่สุดอาจจะเอามาใช้ส่งออกต่อไม่ได้ เพราะเกิดการกีดกันทางการค้า ทั้งรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี”

เรื่องที่สอง: มิติทางสังคม บริบทใหม่ของโลกทุกวันนี้คือ ‘สังคมผู้สูงอายุ’ เพราะคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์กลายมาเป็นผู้สูงอายุ ขณะที่คนเกิดใหม่น้อย ซึ่งในกรณีของประเทศไทยน่าเป็นห่วงและหนักกว่าประเทศอื่น เพราะไทยมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก โดยตัวเลขปี 2568 ไทยมีคนอายุเกิน 60 เป็นสัดส่วน 20% ของประชากรไทย ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 15% 

สังคมสูงวัยส่งผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจหลายอย่าง คือ คนวัยกำลังแรงงานไม่เพียงพอ ระบบประกันสังคมและระบบรองรับการเกษียณไม่เพียงพอ ต้องพึ่งพาภาครัฐ ทำให้รัฐมีค่าใช้จ่ายในการดูแลประชาชนมากขึ้น ขณะที่การเก็บรายได้ภาษีของรัฐจะน้อยลงเพราะฐานภาษีลดลง เทรนด์ของทั่วโลกจะเป็นเทรนด์ที่หนี้สาธารณะสูงขึ้น แต่ไทยจะหนักกว่า 

เรื่องที่สาม: ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม และเทรนด์ดิจิทัลกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเร่งให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น เพราะจะมีคนที่ใช้ประโยชน์จาก AI เพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจ ขณะที่คนไทยเข้าถึงโซเชียลมีเดียอันดับต้นๆ ของโลก แต่ไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจ 

“ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้วเขารวยก่อนแก่ แต่ประเทศไทยจนก่อนแก่ ถ้าเราไม่รีบพัฒนา ปัญหาจะรุนแรงขึ้น ถ้าเอาตัวเลขมากาง คนที่รวยที่สุด 20% แรกของไทย กินสัดส่วนจีดีพี 55% คนที่จนที่สุด 20% กินสัดส่วนจีดีพีแค่ 6% ต่างกันลิบลับ นี่คือปัญหาที่ไทยต้องเจอ ถ้าดูแลเรื่องนี้ไม่ดี จะกลายเป็นปัญหาสังคมตามมา”

เรื่องที่สี่: เรื่องสิ่งแวดล้อม การพยายามทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถ้าธุรกิจของใครไม่เป็นซัพพลายเชนสีเขียว (green supply chain) โอกาสทำธุรกิจจะยากขึ้น 

“สรุป โลกเปลี่ยนจากโลกเสรีเป็นโลกเลือกข้าง, เปลี่ยนจากเบบี้บูมเป็นโอลเดอร์บูม, เปลี่ยนจาก analog เป็น digital เป็น AI และเปลี่ยนจากโลกร้อนเป็นโลกสีเขียว พวกเราที่อยู่ในซัพพลายเชนต้องปรับตัวกับเทรนด์นี้” 

หลักคิดนโยบายเศรษฐกิจ ‘GDP+ESG’

ด้านการปรับตัวของเศรษฐกิจมหภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า รัฐบาลนี้มีเวลาแค่ 4 เดือน ดังนั้น ต้องปรับตัวให้เร็วที่สุด โดยหลักคิดของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเน้นเรื่อง ‘GDP Plus ESG’ คือ การทำให้เศรษฐกิจการเติบโตมากขึ้นคู่กับการทำเรื่อง ESG สิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาล 

รองนายกฯ และ รมว.คลัง อธิบายต่อไปว่า เศรษฐกิจไทยกำลังติดหล่มใกล้จะดิ่งลงเหว ในไตรมาส 1 ปี 2568 จีดีพีโต 3.2% ไตรมาส 2 โต 2.8% ไตรมาส 4 จะเหลือแค่ 0.3% เพราะการส่งออกซึ่งเป็นเครื่องยนต์ตัวใหญ่จะชะลอลง เนื่องจากมีการส่งออกล่วงหน้าไปแล้ว 

“ถ้าเราไม่หยุดการติดหล่ม มันจะไม่แค่ติดหล่ม มันจะกลายเป็นดิ่งลงเหว เพราะฉะนั้นต้องทำให้การเติบโตเกิดขึ้น ซึ่งการเติบโตอย่างเดียวไม่พอ ต้องคิดให้ยั่งยืนด้วย และต้องคิดเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ คิดถึงการกระจายตัวด้วย หลักคิดในทีมเศรษฐกิจของรัฐมนตรีพาณิชย์และรัฐมนตรีพลังงาน เราใช้กรอบเดียวกันในการสื่อสาร นั่นคือ กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว และต้องถูกหลักธรรมาภิบาล ซึ่งธรรมาภิบาลในเชิงเศรษฐกิจคือ เสถียรภาพทางการคลังและการเงิน เพราะถ้าเราไม่มีเสถียรภาพ-วินัยการคลัง เราจะเจอวิกฤตเหมือนปี 2540”

5 เสาหลักนโยบายเศรษฐกิจ

รองนายกฯ และ รมว.คลัง อธิบายว่า นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลมี 5 เสาหลัก ได้แก่ 

เสาที่ 1 คือ กระตุ้นเศรษฐกิจ รถยนต์เศรษฐกิจไทยกำลังดิ่งเหว เครื่องยนต์ใหญ่คือการส่งออกได้ชะลอลง เพราะฉะนั้นเครื่องยนต์ที่จะพอช่วยดันเศรษฐกิจไทยได้คือการบริโภคภาคเอกชน และเครื่องยนต์ที่จะช่วยให้การบริโภคภาคเอกชนดีได้คือเหลือตัวเดียวคือ การใช้จ่ายภาครัฐ โดยโครงการเพิ่มเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการท่องเที่ยวเมืองรอง ให้มีการลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ในการพัฒนาปรับปรุงตกแต่งโรงแรมในเมืองรองให้น่าอยู่ขึ้น และโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งรัฐจ่ายให้คนที่อยู่ในระบบภาษีมากกว่าคนที่ไม่ได้อยู่ 20% 

เสาที่ 2 คือ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง คือ ปัญหานี้ของประชาชน โดยจะนำเงิน 26,000 ล้านบาทจากกองทุนฟื้นฟูและสถาบันการเงินที่เหลือจากโครงการคุณสู้เราช่วย ไปตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมกับธนาคารในการซื้อหนี้ประชาชนที่เป็นหนี้เสียของประชาชนออกมา แล้วนำมามาปรับโครงสร้างหนี้ มีการยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย ทำให้คนเป็นหนี้มีลมหายใจมากขึ้น แล้วพัฒนาให้กลับเข้าสู่ระบบได้อีก 

เสาที่ 3 คือ SME รัฐบาลจะพยายามเพิ่มสภาพคล่องในระบบให้ SME โดย (1) ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของ SME (2) มีโครงการพี่ช่วยน้อง เพิ่มการหักลดหย่อนภาษีสำหรับบริษัทใหญ่ที่ช่วยเหลือบริษัทเล็กในซัพพลายเชน (3) ทำ Business Transformation Loan เพื่อที่จะทำให้ซัพพลายเชนในไทยเติบโตขึ้น โดยให้ธนาคารสนับสนุน SME ผ่านโครงการสินเชื่อสนับสนุนสภาพคล่อง (4) ใช้เครื่องมือการคลังโดยการคืนภาษี 160,000 ล้านให้แก่ SME  

เสาที่ 4 คือ เพิ่มการออมของประชาชน โดยออกสลากเพื่อการออม ซึ่งจะหักเงินจากการซื้อสลากที่ไม่ถูกรางวัลออกมาเข้ากองทุน ให้ถอนได้หลังอายุ 55 ปี หรือถ้าใครอายุเกิน 55 แล้ว ต้องถอนหลังจาก 5 ปี หรือถ้าเดือดร้อนสามารถนำวงเงินในกองทุนเป็นหลักประกันกู้เงินได้ 

เสาที่ 5 คือ การลงทุนเพื่ออนาคตในหลายๆ อุตสาหกรรม โดยจะมีโครงการ Fast Pass ปลดล็อกกฎระเบียบ กติกา เพื่อให้เกิดการลงทุนจริงในโครงการที่ผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) แล้ว และกระทรวงพลังงานจะปลดล็อกเรื่องไฟฟ้า จะเน้นพลังงานสะอาด มีการพัฒนาทักษะใหม่ (reskill) เพิ่มทักษะ (upskill) แรงงาน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จับมือกับภาคเอกชนที่ได้การส่งเสริมการลงทุน และจะมีสินเชื่อเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจด้วย 

“สุดท้ายคือความยั่งยืนทางการคลัง ทุกนโยบายจะต้องทำเรื่องวินัยการคลัง เน้นเรื่องความมีวินัย โปร่งใส แหล่งเงินที่ใช้ต้องชัด ต้องยกระดับธรรมาภิบาลทางการคลัง เหมือน governance ในภาคเอกชน 

นี่คือฝั่งเศรษฐกิจมหภาค แต่ทางธุรกิจทุกท่านต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน จะพึ่งภาครัฐอย่างเดียวไม่ได้ ภาคธุรกิจทุกคนต้องช่วยกัน” เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าว 

แชร์
เอกนิติชู ‘GDP+ESG’ หลักคิดนโยบายเศรษฐกิจในบริบทโลกเปลี่ยน