3 ตุลาคม 2568 ธนาคารโลก (World Bank) เปิดตัวรายงาน Country Climate and Development Report โดย The World Bank Group รายงานฉบับประเทศไทยในปีนี้ เพื่อให้ข้อมูลสนับสนุนว่า ทำไมประเทศไทยจึงต้องเพิ่มการลงทุนเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากหากไม่ปรับ ภายใน 2593 GDP ไทยอาจละ 7-14%
รายงานของธนาคารโลกฉบับนี้ชี้ว่า ประเทศไทยเดินไปสู่เป้าหมายการเป็น “ประเทศรายได้สูง” ได้ช้าลง การเติบโตของการลงทุนก็ต่ำลง และการมีส่วนร่วมในภาคแรงงานก็กดต่ำลงจากสถานะการเป็นสังคมสูงวัย เศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นฟันเฟือง 1 ใน 3 ของ GDP ประเทศ ก็กำลังถดถอยเพราะความแออัดที่เพิ่มขึ้น และปัญหาเหล่านี้กำลังถูก “การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ” ฉุดให้หนักหน่วงขึ้นอีก
การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่าที่หลายคนคิด ธนาคารโลกชี้ว่า ภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อันเป็นผลจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ น้ำท่วม น้ำแล้ง และความร้อน ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งในฐานะประเทศลำดับที่ 30 ที่ได้รับผลกระทบจาก “เหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว” มากที่สุดในโลกตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
ภาคที่ได้รับการประเมินว่าจะเสียหายมากที่สุดคือ ภาคการเกษตรและการประมง ภาคการเกษตรที่ผลิต GDP 8% ของประเทศ และมีแรงงานถึง 1 ใน 3 เผชิญปัญหา ความร้อนสูงขึ้น ภัยแล้ง และการขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะการปลูกข้าวซึ่งใช้น้ำมาก อ้อย ข้าวโพด ปศุสัตว์ และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน กว่า 58% ของเกษตรกรเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำ และยังมีดินเสื่อมโทรม กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลมากที่สุดคือกลุ่มที่พึ่งพาน้ำฝนเป็นหลักในภาคเหนือและอีสาน
ด้านภาคอุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบเพราะ แหล่งโรงงานจำนวนมากตั้งอยู่ที่พื้นที่อุตสาหกรรมจำนวนมากตั้งอยู่ในเขตที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมและ “เกาะความร้อนเมือง” และในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ก็มีปัญหาขาดแคลนน้ำ อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่นี้ ซึ่งผลิต GDP ให้ประเทศได้มากถึง 15% ในปีก่อน
พื้นที่ EEC นี้เอง มีเสียงสะท้อนจากคนในพื้นที่ต่อเนื่อง เกี่ยวปัญหาการจัดการน้ำและจัดการขยะ และแม้จะผลิต GDP ให้ประเทศได้มากถึง 15% ในปี 2567 ก็มีคำถามจากคนในท้องที่ว่า คนในพื้นที่ได้ประโยชน์ด้วยแค่ไหน หรือเป็นเพียงแรงงานราคาถูกให้กลุ่มทุนต่างชาติเท่านั้น ปัญหาการรับฟังคนในพื้นที่ และสิ่งแวดล้อมของ EEC ยังมีหลายฝ่ายกังวล โดยเฉพาะเมื่อ EEC ประกาศตั้งศูนย์ข้อมูล data center ในจังหวัดระยอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อวิกฤตน้ำที่มีอยู่แล้ว
อีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่าใครจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือ “คนกลุ่มเปราะบาง” โดยมี “ความไม่เท่าเทียมทางสังคม” เป็นสาเหตุหลัก ในปี 2564 ไทยมีคะแนนสัมประสิทธิ์จีนี หรือคะแนนที่บ่งบอกความไม่เสมอภาคในสังคม อยู่ที่ 43.3 คะแนน และได้อยู่ลำดับที่ 10 จาก 63 ของประเทศที่ไม่เท่าเทียมมากที่สุด คะแนนดังกล่าววัดจากรายได้ของคนในประเทศ ซึ่งรายได้ครึ่งหนึ่งของประเทศไทยเป็นของคน 10 เปอร์เซ็นบนสุดบนพีระมิดรายได้
ยังมีกลุ่มเปราะบางในมิติอื่นที่ได้รับผลกระทบมากกว่า อาทิ คนชรา เด็ก ที่มีความสามารถในการปรับตัวทางกายภาพต่ำกว่า หรือ คนที่ทำงานกลางแจ้ง คนจนเมือง ที่จะได้รับผลกระทบจาก UHI หรือปรากฏการณ์ที่เขตเมือง ร้อนกว่าเขตชนบท เพราะไม่มีเงินให้หลบความร้อน เขตเมืองที่สูงกว่าชนบท 2-3 องศาเซลเซียส (บางครั้งอาจถึง 6 องศาเซลเซียส) อย่างที่คนรวยทำได้
ธนาคารโลกประเมินว่า ทุก ๆ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส อาจทำให้กรุงเทพมหานครสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจระหว่าง 85,000–123,000 ล้านบาท หรือประมาณ 1.6–2% ของ GDP ปี 2019 หลัก ๆ มาจากประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง และการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ภัยธรรมชาติยังกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องหาทางเยียวยา
ประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่เสี่ยงน้ำท่วมมากที่สุดในโลก น้ำท่วมจากแม่น้ำเกิดขึ้นเป็นประจำแทบจะทุกปีระหว่างเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม โดยเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตัวอย่างความเสียหายใหญ่คือ น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ส่งผลกระทบต่อคน 13.6 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 815 คน และสร้างความเสียหายต่อ GDP ประเทศกว่า 12.6%
หากตัวอย่างนี้ดูไกลไป ธนาคารโลกกล่าวว่า ไทยมีความเสี่ยงน้ำท่วมมากขึ้นเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ เพราะปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นในช่วงฤดูมรสุม และเมื่อเทียบแผนที่เหตุการณ์ดินถล่มและน้ำท่วมฉับพลันเมื่อปี 2553 กับการคาดการณ์ในปี 2593 จะพบว่ามีความรุนแรงขึ้นมาก
อีกปัจจัยที่จะมาหนุนน้ำท่วมในไทยคือ ระดับน้ำทะเลหนุนสูงที่นอกจากจะกระทบน้ำท่วมและหนุนการกัดเซาะชายฝั่ง โดยเฉพาะชายฝั่งกรุงเทพและภูเก็ต กรุงเทพมหานครและพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจหนาแน่น ยังคงมีความเปราะบางต่อปัญหาน้ำท่วมเป็นพิเศษ ถึงจุดนี้เอง กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่ผลิต GDP ครึ่งหนึ่งของประเทศ ก็กลายเป็น “พื้นที่เปราะบาง”
แต่ไม่ใช่แค่น้ำท่วม ปัญหาภัยแล้งในไทยที่รุนแรงขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และความร้อนที่เพิ่มขึ้นก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย แง่หนึ่งคือ ความร้อนส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของคนงาน ทำให้มี “ชั่วโมงทำงานที่ปลอดภัย” ลดลง โดยเฉพาะภาคการเกษตร อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของไทย ที่ธนาคารโลกกล่าวว่า จะได้รับผลกระทบมากระหว่างปี 2584-2593 ตามมาด้วยภาคบริการ และภาคอื่น ๆ แรงงานนอกระบบได้รับผลกระทบมากที่สุด
การปรับตัวทางเศรษฐกิจเพื่อประเด็นดังกล่าวยิ่งน่าห่วงเมื่อ ธนาคารโลกกล่าวว่า ไทยยังเร่งปรับตัวต่อวิกฤตความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศไม่มากพอ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวของประเทศไทยมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุน โดยเฉพาะเมื่อภาคการลงทุนเองได้รับแรงกดดันให้ดำเนินการด้วยมาตรการคาร์บอนต่ำ จึงสรุปได้ว่า ในอนาคตความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการลดการผลิตคาร์บอน อย่างเช่น การนำเข้าสินค้าเข้าสหภาพยุโรปกับกลไกค่าปรับคาร์บอนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป
และแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ใช่ผู้ผลิตคาร์บอนรายใหญ่อย่างจีน สหรัฐฯ หรืออินเดีย ผู้ผลิตคาร์บอน 3 อันดับแรก แต่การจะปรับตัวให้เพียงพอต่อสถาการณ์โลกรวนก็ต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้ ปัจจุบันเชื้อเพลิงฟอสซิลยังเป็นแหล่งพลังงานหลักของประเทศ โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง และอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นตัวกรสำคัญในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
ภาคการผลิตเป็นภาคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าภาคอื่น แต่ยังต่ำกว่าภาคการผลิตของหลายประเทศคู่แข่ง และยังปล่อยก๊าซมากกว่าการปล่อยก๊าซของสหภาพยุโรป 26.5% แม้จะใช้พลังงานน้อยกว่า 7.5% ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะการปลูกข้าวและปศุสัตว์ ข้าวเป็นแหล่งปล่อยมีเทนจากการย่อยสลายของอินทรียวัตถุในนาข้าวจมอยู่ในน้ำ ส่วนฟาร์มสุกรและสัตว์ปีกปล่อยมีเทนจากมูลและคาร์บอนจากการใช้พลังงาน วัว แกะ และแพะปล่อยมีเทนและไนตรัสออกไซด์จากการย่อยอาหารและการจัดการมูล
การเผาเศษวัสดุเกษตรยังเป็นสาเหตุสำคัญของคาร์บอนไดออกไซด์และคาร์บอนดำ ส่งผลต่อคุณภาพอากาศและภูมิอากาศ โดยการเผาชีวมวลคิดเป็น 25% ของฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ และเพิ่มเป็น 35% ในฤดูแล้ง เมื่อรวมทั้งห่วงโซ่อาหารเกษตรทั้งหมด ไทยเป็นผู้ปล่อยก๊าซอันดับสองในอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย
ประเทศไทยมีคำมั่นสัญญาหลายประกาศที่ให้ไว้กับประชาคมโลก อาทิ แผนแม่บทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2015–2050 ประเทศไทยยังได้ยื่นกลยุทธ์การพัฒนาระยะยาวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (LT-LEDS) และปรับปรุง NDC เพื่อมุ่งลดการปล่อยก๊าซ 30–40% ภายในปี 2030 มีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2050 และปล่อยก๊าซสุทธิศูนย์ปี 2065 เป็นต้น แต่ความพยายามของไทยดูจะไม่สมดุลกับคำสัญญาที่ให้ไว้
เมื่อระลึกว่า ไทยต้องการเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจหยืดหยุ่น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และรายได้สูงภายในปี 2580 ประเทศไทยจำเป็นต้องมี GDP โตขึ้นเฉลี่ยประมาณ 5% ตลอด 13 ปีข้างหน้านี้ กล่าวอีกอย่างคือ โตเป็น 2 เท่าของการเติบโตโดยปกติของไทยตั้งแต่ปี 2553 ที่ 2.6%
ที่ผ่านมาไทยมีกลไกหลายอย่างที่พยายามปรับตัวเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ อาทิ ความพยายามในการดูดซับคาร์บอนผ่าน LULUCF (การใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และป่าไม้) หรือกลยุทธ์การพัฒนาระยะยาวเพื่อลดการปล่อยก๊าซ (LT-LEDS) ที่ให้ลดคาร์บอนในทุกภาคส่วน โดยเน้นพลังงานและการขนส่ง และตั้งเป้าให้พลังงานหมุนเวียนคิดอย่างน้อย 50% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ภายในปี 2050 เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนกับพลังงานหมุนเวียน มีข้อกังวลที่ภาคประชาสังคมกังวล เช่น การไม่รับรู้ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดกับคนในพื้นที่ อาทิ การสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตคนบริเวณใกล้เคียง กรณีแบบนี้เกิดขึ้นทั้งในไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
ธนาคารโลกชี้ว่า หากไทยไม่ปรับตัวเพิ่ม ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจะลด GDP ประเทศไทยราว 7-14% ภายในปี 2593 กลับกัน การลงทุนในการรับมืออุทกภัย การปกป้องชายฝั่ง ความมั่นคงทางน้ำ และการบรรเทาความร้อน คาดว่าจะเพอ่ม GDP ราว 20-3% ภายในปี 2583 และ 4-5% ภายในปี 2593
อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าเพื่อเปลี่ยนผ่านพลังงานยังคงเป็นอนาคตของประเทศไทย เพื่อทำตามคำมั่นสัญญานานาประการที่ประเทศให้ไว้ แต่ต้องพยายามมากกว่านี้ และสำรวจผลกระทบที่เกิดกับคนในชุมชน เพื่อไม่ให้การทำเพื่อสิ่งแวดล้อมภาพใหญ่ กลายเป็นการรังแกสิ่งแวดล้อมและชุมชนภาพเล็ก
กลไกอื่น ๆ ที่ธนาคารโลกเสนอผ่านรายงาน Country Climate and Development Report อาทิ การเก็บราคาคาร์บอนอย่างโปร่งใส และลดความไม่แน่นอนสำหรับภาคเอกชน แต่เพียงเก็บราคาคาร์บอนนั้นไม่พอ ต้องทำควบคู่ไปกับการปฏิรูปตลาด และลงทุนในระบบสำรองพลังงาน และการเชื่อมต่อในภูมิภาค ลงทุนกับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การสนับสนุนให้ภาคการเกษตรเข้มแข็งด้วยการให้ความรู้ ลงทุนในการปลูกป่า
ธนาคารโลกกล่าวว่า ไทยมีศักยภาพในการเติบโตสีเขียวรวดเร็ว เนื่องจากไทยเป็นผู้นำส่งออกเครื่องปรับอากาศ eco-friendly และผู้นำเทคโนโลยี solar photovoltaic เปลี่ยนแสงอาทิตย์เป็นกระแสไฟฟ้าผ่านแผงโซลาร์เซลล์ แต่กลับยังไม่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศเท่าที่ควร และต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน จุดนี้ธนาคารโลกชี้ว่า การผลิตสีเขียวของไทย อาจเพิ่มสัดส่วน GDP ได้ 2–3% ซึ่งอาจทำได้ผ่านการพัฒนาทักษะทางเทคโนโลยีควบคู่กับภาคเอกชน
การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมต้องใช้เงินทุนราว 219 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 25 ปีข้างหน้า (เมื่อคำนวณเป็นมูลค่าปัจจุบันหลังปรับลดค่าเงินในอนาคตแล้ว) และราคาคาร์บอนอาจสร้างรายได้เพิ่มเติมให้ไทยราว 1% ของ GDP ซึ่งส่วนนี้ ธนาคารโลกแนะว่าอาจทำผ่าน VAT, PIT, ภาษีทรัพย์สิน และแนะนำว่า สถาบันการเงินกระตุ้นให้มีการเสนอขายพันธบัตร และสินเชื่อสีเขียวเพิ่มมากขึ้น ทำให้ตลาดการเงินสีเขียวมีความเข้มแข็ง
ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจในรายงาน Country Climate and Development Report: Thailand โดย World Bank Group เกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจของไทยจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และแนวทางการปรับตัวในแง่นโยบาย อย่างไรก็ตาม การคำนึงถึงผลกระทบต่อภาคประชาชนและกลุ่มเปราะบางก็สำคัญ