เศรษฐกิจไทยเปรียบเหมือนรถยนต์ที่ติดหล่มและกำลังวิ่งลงเหว เพราะรถยนต์นี้มี 4 เครื่องยนต์ คือ การส่งออก การบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งกำลังแผ่วลงทั้งหมด และบางเครื่องยนต์ได้ดับลงไปแล้ว เหลือเพียงการใช้จ่ายของภาครัฐเครื่องยนต์เดียวที่ยังทำงานอยู่
ตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 โต 1.7% และไตรมาสที่ 4 โต 0.3% แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะติดหล่ม
“การใช้จ่ายภาครัฐคือเครื่องยนต์เดียวที่มีอยู่ ที่จะช่วยให้เราพ้นจากหล่มเศรษฐกิจได้ ถ้าเราไม่ใช้เครื่องยนต์นี้ ถ้าอยู่เฉยๆ มันจะไม่ใช่แค่ติดหล่ม มันจะดิ่งลงเหวเลย และเมื่อตกเหวไปแล้ว ความเสียหายจะเกิดขึ้นมากมาย เราจะแก้ยากขึ้นไปอีก”
ข้อความข้างต้นนี้เป็นคำกล่าวของ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ก่อนจะชี้แจงรายละเอียดชุดนโยบายด้านเศรษฐกิจ โดยได้อธิบายแนวทางการดำเนินนโยบาย และอธิบายให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลานี้ ใจความสำคัญเหมือนกันกับที่อธิบายในการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลัง ในวันถัดมา (1 ตุลาคม 2568)
รองนายกฯเอกนิติชี้แจงนโยบายด้านเศรษฐกิจว่า แนวนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจะดำเนินการชุดนโยบาย ‘Big Quick Win’ โดยใช้หลัก “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” เนื่องจากรัฐบาลมีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือน จึงต้องกระตุ้นระยะสั้น ส่วน ‘ได้ยาว’ คือ ต้องคำนึงถึงการเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว และ ‘กระจายตัว’ รัฐบาลต้องดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และดูแลผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย (SME) ซึ่งกำลังเดือดร้อนมาก
เป้าหมายระยะสั้น คือ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อ ลดหนี้ เพิ่มการออม เสริมสภาพคล่อง ส่วนเป้าหมายระยะยาว คือ ดึงดูดการลงทุน วางรากฐานเพื่ออนาคต เพิ่มทักษะรองรับอุตสาหกรรมใหม่ รวมทั้งรักษาเสถียรภาพการคลัง
โดยมีตัวชี้วัดที่วัดได้จริง คือ เศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 2568 ขยายตัวได้มากกว่าที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.3%, หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงต่ำกว่า 87.4%, สภาพคล่องของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) เพิ่มขึ้น, ประชาชนมีช่องทางการออมระยะยาวมากขึ้น และมีเงินลงทุนเพื่ออนาคตเข้ามามากขึ้น
รองนายกฯเอกนิติบอกลงรายละเอียดว่า นโยบาย ‘Big Quick Win’ ประกอบด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่
1. กระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยใช้โครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ เพื่อช่วยค่าครองชีพของประชาชน โดยจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า โดยไม่ได้มีการกู้เพิ่ม ไม่ได้ใช้เงินใหม่ แต่ใช้กรอบงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลที่แล้ว โดยใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท บวกกับงบกลางฯ 19,000 ล้านบาท ยืนยันว่าไม่ได้เสียวินัยการเงินการคลัง
ส่วนการกระตุ้นการท่องเที่ยว มีการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง และให้ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สำหรับการพัฒนาปรับปรุงตกแต่งโรงแรมในเมืองรองให้น่าอยู่ขึ้น
2. ลดภาระหนี้ประชาชน โดยจะนำเงิน 26,000 ล้านบาทจากกองทุนฟื้นฟูและสถาบันการเงินที่เหลือจากโครงการคุณสู้เราช่วย ไปตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมกับธนาคารในการซื้อหนี้ประชาชนที่เป็นหนี้เสีย (NPL) ออกมา แล้วนำมามาปรับโครงสร้างหนี้ มีการยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย เพื่อให้สภาพคล่องดีขึ้น และมีสินเชื่อเพื่อคนตัวเล็ก เป็นการปล่อยสินเชื่อตามความเสี่ยง ให้ประชาชนสามารถกู้เงินในระบบได้
3. เพิ่มสภาพคล่องให้ SME โดย (1) ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อของ SME (2) มีโครงการพี่ช่วยน้อง เพิ่มการหักลดหย่อนภาษีสำหรับบริษัทใหญ่ที่ช่วยเหลือบริษัทเล็กในโครงการ (3) ให้ธนาคารช่วยสนับสนุน SME ผ่านโครงการสินเชื่อสนับสนุนสภาพคล่อง (4) ใช้เครื่องมือการคลังโดยการคืนภาษี 160,000 ล้านให้แก่ SME
4. เพิ่มการออมภาคประชาชน โดยออกสลากเพื่อการออม และพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออม ซึ่งเป็นคนละส่วนกับ ‘หวยเกษียณ’
5. การลงทุนเพื่ออนาคต โดยการพัฒนาทักษะใหม่ (reskill) เพิ่มทักษะ (upskill) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จับมือกับภาคเอกชนที่ได้การส่งเสริมการลงทุน และร่วมมือกับสถาบันการศึกษา เพื่อผลิตแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดยุคใหม่ และจะมีโครงการ Fast Pass ของ BOI ปลดล็อกกฎระเบียบกติกา เพื่อให้เกิดการลงทุนใหม่ ให้เงินเข้าสู่เศรษฐกิจ
“เสาหลัก 5 เสานี้จะอยู่ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีฐานรากที่เข้มแข็ง กระทรวงการคลังจะเน้นเรื่องรักษาเสถียรภาพการคลัง ในเดือนพฤศจิกายนเราจะมีการจัดทำกรอบวินัยการเงินการคลังระยะปานกลาง ซึ่งผมและทีมงานจะต้องทำเพื่อสร้างความมั่นใจให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (rating agency) ว่าเรามีแผนชัดเจน โปร่งใส เปิดเผยข้อมูลมากขึ้น และมีธรรมาภิบาลของระบบการคลัง เพื่อสร้างความมั่นใจ และทุกนโยบายต้องมีการบอกว่าได้ประโยชน์อย่างไร คุ้มค่าหรือไม่ ตุ้นทุนงบประมาณใช้เงินจากไหน ต้องชัดเจน” รองนายกฯและ รมว.คลังกล่าวในรัฐสภา
รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังบอกอีกว่า ทีมวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจวิเคราะห์ว่า ผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสและเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะช่วยให้เศรษฐกิจที่ใกล้จะติดลบสามารถขยับขึ้นได้ โดยจะช่วยให้จีดีพีไตรมาส 4 ปี 2568 ขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ 0.3%
“เป้าหมายของเรามีชัดคือ ทำให้รถยนต์ขึ้นจากหล่มไม่ตกเหว จีดีพีโตได้ดีกว่า 0.3% NPL ลดลง หนี้ครัวเรือนลดลงต่ำกว่า 87.4% ของจีดีพี และสภาพคล่องต้องเพิ่มขึ้น เม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นจริง
“ปัญหาเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่ปัญหาของคนใดคนหนึ่ง ทุกคนต้องช่วยกันทำให้รถยนต์เศรษฐกิจไทยฟื้นจากหล่ม ไม่ตกเหว ผมมั่นใจว่าถ้าร่วมแรงร่วมใจกัน อย่างน้อยใน 4 เดือน เราจะสามารถฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้นได้ ไม่ให้ติดหล่ม เราทำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในระยะยาวได้ แม้จะทำไม่ได้เยอะ แต่ก็ควรเพิ่มทำทันที และต้องช่วยประชาชน SME ที่เดือดร้อนได้ ให้การช่วยเหลือกระจายตัวไปทุกพื้นที่” รองนายกฯและ รมว.คลังกล่าว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงการคลังในวันที่ 1 ตุลาคมว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในเสาหลักที่ 1 มุ่งเน้นที่การขับเคลื่อนเครื่องยนต์ด้านการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนขนาดใหญ่ที่ใกล้เคียงกับการส่งออก คาดว่ามาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของจีดีพีในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ให้สามารถโตได้มากกว่า 1% โดยสองโครงการในมาตรการนี้ ได้แก่ คนละครึ่งพลัส กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะใช้เงินเดิมที่มีอยู่แล้วจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท และอีก 19,000 ล้านบาท มาจากงบกลางฯ
ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรองจะใช้มาตรการหักลดหย่อนภาษีสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองรองได้ 2 เท่า เบื้องต้นคาดว่าจะกำหนดวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 40,000 บาท ซึ่งรัฐอาจเสียรายได้ภาษี 200 ล้านบาท
นอกจากนั้น รมว.คลังเผยว่า ได้สั่งการให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณสัมมนา/จัดงานต่างๆ ให้เสร็จสิ้นภายใน 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2569