Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ใช้ให้เป็น จ่ายให้คุ้ม กับคนละครึ่ง 2568
โดย : ราชันย์ ตันติจินดา

ใช้ให้เป็น จ่ายให้คุ้ม กับคนละครึ่ง 2568

13 ก.ย. 68
10:57 น.
แชร์

โครงการคนละครึ่ง 2568 มาตรการที่หลายคนเฝ้ารอ เพื่อจะได้จับจ่ายใช้สอยสินค้าหรือบริการได้ในราคาถูกลง ส่วนร้านค้าเองก็เตรียมรับทรัพย์กับยอดขายที่กำลังจะเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจน ทั้งกำหนดการลงทะเบียน วงเงินต่อวัน ช่วงเวลาการใช้จ่ายที่ ประมาณ ต.ค. 68 ซึ่งมีสิ่งใดที่ควรรู้บ้าง บทความนี้มีข้อคิดดีๆ มาฝากกัน

1.ทบทวนการใช้สิทธิ โครงการคนละครึ่ง

แม้ยังไม่มีประกาศรายละเอียดที่ชัดเจน แต่หากพิจารณาจากโครงการคนละครึ่งในหลายเฟสที่ผ่านมา คาดว่าจะยังมีหลายอย่างที่มีลักษณะใกล้เคียงเดิม เช่น

  • ต้องใช้จ่ายผ่านแอป “เป๋าตัง” ด้วยการสแกนจ่าย QR จากแอป “เป๋าตัง” ของร้านค้าที่ร่วมโครงการคนละครึ่งเท่านั้น
  • ต้องใช้เพื่อซื้อสินค้าที่กำหนด เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ฯลฯ หรือบริการที่กำหนด เช่น นวด ทำผม Taxi รถขนส่งสาธารณะ ฯลฯ ไม่สามารถใช้กับสินค้าบางรายการได้ เช่น บัตรกำนัล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ค่าน้ำประปา/ไฟฟ้า/อินเทอร์เน็ต ฯลฯ
  • รัฐสนับสนุนตามสัดส่วนที่กำหนด เช่น 50:50 ฯลฯ และมีวงเงินสูงสุดต่อวัน เช่น รัฐสนับสนุนสูงสุด 150 บาทต่อวัน ตัวอย่างเช่น การใช้จ่ายครั้งแรกในแต่ละวัน

หากสินค้าราคา 100 บาท รัฐจ่าย 50% หรือ 50 บาท เราจ่ายส่วนต่างที่เหลือ 50 บาท / หากสินค้าราคา 400 บาท รัฐจ่ายสูงสุด 150 บาท เราจ่ายส่วนต่างที่เหลือ 250 บาท

  • มีทั้งวงเงินสูงสุดต่อวันและตลอดโครงการ และมีกำหนดระยะเวลาโครงการ เช่น โครงการคนละครึ่งเฟส 3 รัฐสนับสนุน 150 บาทต่อวัน สูงสุด 3,000 บาทตลอดโครงการในช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค. 64 ดังนั้นหากใช้จ่ายเต็มสิทธิ 150 บาท ทุกวัน จะใช้สิทธิเต็มได้ภายใน 20 วัน ก่อนครบกำหนดสิ้นสุดโครงการ

สำหรับโครงการคนละครึ่ง 2568 ตามกระแสข่าวล่าสุด คาดว่าเริ่มใช้ได้ประมาณ ต.ค. 68 โดยสัดส่วนที่รัฐจะสนับสนุนแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

  1. กลุ่มผู้มีเงินได้ที่เสียภาษีเงินได้ เช่น คนเงินเดือน 26,000 บาทขึ้นไป รัฐสนับสนุน 60% ที่เหลือเราจ่ายส่วนต่างเอง เช่น สินค้าราคา 200 บาท รัฐจ่าย 60% หรือ 120 บาท เราจ่ายส่วนต่างที่เหลือ 80 บาท
  2. กลุ่มคนไม่เสียภาษี รัฐสนับสนุน 50% ที่เหลือเราจ่ายส่วนต่างเอง เช่น สินค้าราคา 200 บาท รัฐจ่าย 50% หรือ 100 บาท เราจ่ายส่วนต่างที่เหลือ 100 บาท

 2.ตัวช่วยลดค่าครองชีพ อย่าใช้เพิ่มค่าใช้จ่าย

จากข้อมูลวงเงินสูงสุดต่อวันและตลอดโครงการที่ผ่านมา แม้เราไม่ได้ใช้เต็มสิทธิทุกวัน ก็สามารถทยอยใช้ จนเต็มสิทธิตลอดโครงการได้ ดังนั้นการใช้จ่ายแต่ละครั้ง ควรใช้ตามความจำเป็น อย่าใช้เกินจำเป็นเพียงเพราะเห็นว่ามีรัฐช่วยจ่าย เช่น หากเดิมเราใช้จ่ายวันละ 150 บาท ในช่วงโครงการก็ควรเหลือจ่ายเอง 60-75 บาท* ไม่ใช่ว่ายังจ่ายเอง 150 บาท เพื่อให้ได้สินค้า/บริการ 300 บาท ที่เป็นสินค้าเกินความจำเป็น

เช่น ปกติใช้บริการร้านอาหารตามสั่งใกล้บ้านทุกเย็น รับประทานทั้งครอบครัวค่าใช้จ่ายมื้อละ 150 บาท หากร้านอาหารนี้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง โดยรัฐสนับสนุน 50% เราก็ควรเหลือจ่าย 75 บาท และหากวงเงินตลอดโครงการคือ 3,000 บาทต่อคน เท่ากับว่าเราสามารถใช้ได้เต็มสิทธิ โดยลดค่าอาหารมื้อเย็นได้ถึง 40 วัน*

แต่หากเลือกเปลี่ยนไปใช้บริการร้านอาหารอื่นที่แพงขึ้น เช่น ชาบู/หมูกระทะมื้อละ 300 บาท เพื่อให้เหลือจ่าย 50% หรือ 150 บาท* ทุกวัน ไม่เพียงแต่ค่าครองชีพไม่ลดลงแล้ว ยังทำให้เกิดความคุ้นชินกับร้านใหม่ หลังใช้สิทธิครบแล้วอาจเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้บริการร้านที่แพงขึ้น ทำให้มีค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้ ซึ่งแม้เชื่อว่าตนเองยังสามารถจ่ายเงินส่วนเพิ่มนี้ได้ แต่ก็ทำให้มีเงินเหลือเก็บจากชีวิตประจำวันลดลง

คนละครึ่ง 2568

3.เลือกวิธีจ่าย ให้ได้ประโยชน์

โครงการคนละครึ่ง เหมาะกับการใช้จ่ายสินค้าหรือบริการในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร 3 มื้อ เครื่องดื่ม Taxi รถขนส่งสาธารณะ ฯลฯ เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐตามวงเงินที่กำหนด เช่น 150 บาทต่อวัน* หรือเทียบเท่าได้ส่วนลดไม่เกิน 50-60% อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสินค้าหรือบริการบางอย่าง ที่ไม่เหมาะกับการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง เช่น

  • สินค้าชิ้นใหญ่ราคาสูง เพราะรัฐจำกัดวงเงินสนับสนุนต่อวันไว้ ดังนั้นหากซื้อสินค้าราคาสูง แม้ซื้อจากร้านค้าที่ร่วมโครงการ เช่น 40,000 บาท รัฐก็อาจสนับสนุนเพียง 150 บาท* เท่านั้น แต่หากเปลี่ยนไปชำระด้วยทางเลือกอื่น เช่น บัตรเครดิต จะได้รับคะแนนสะสม 1,600 คะแนน (สมมติทุกการใช้จ่าย 25 บาท ได้ 1 คะแนน) เทียบเท่าเงินสดหรือเงินคืนเข้าบัญชี 160 บาท (สมมติ 100 คะแนน แลกเงินคืนได้ 10 บาท)
  • สินค้าหรือบริการส่วนที่เกินกว่า 300 บาทต่อวัน* สามารถเลือกชำระเงินด้วยทางเลือกอื่นที่ได้โปรโมชัน หรือสิทธิสะสมคะแนน เช่น

-ชำระค่าสินค้า 7-Eleven ด้วย TrueMoney Wallet ที่ผูกกับบัตรเครดิต ใช้จ่ายแต่ละครั้งได้ทั้งคะแนนสะสมใน Application และบัตรเครดิต

-สั่งอาหารหรือเรียกรถผ่าน Grab หรือ LINE MAN ด้วยการผูก Wallet เพื่อให้ได้รับโค้ดส่วนลด หรือผูกบัตรเครดิตเพื่อสะสมคะแนน

*สมมติฐาน: รัฐสนับสนุน 50% แต่ไม่เกินวันละ 150 บาท

ร้านค้า ต้องเตรียมรับมือ กับยอดขาย

สำหรับร้านค้าที่จะร่วมโครงการ จากโครงการเฟสก่อนหน้านี้ หลายร้านค้ามีความเห็นตรงกันว่าในระหว่างโครงการ ร้านค้ามียอดขายเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ ซึ่งแม้เป็นโอกาสเพิ่มรายได้ แต่ยังมีสิ่งที่ต้องเตรียม อย่างน้อย 3 เรื่อง ได้แก่เตรียมทรัพยากร เช่น วัตถุดิบที่ต้องเตรียมรองรับยอดขายที่มากกว่าปกติ ลูกมือที่ต้องรองรับกับลูกค้าที่เพิ่มขึ้น กระบวนการและตัวช่วยต่างๆ เช่น ป้ายแจ้งว่าร้านร่วมโครงการ ซักซ้อมการเปิด QR โดยเฉพาะลูกมือที่ไม่ถนัดการใช้เทคโนโลยี

  1. เตรียมเงินทุน ควรเน้นเงินทุนส่วนตัวเป็นหลัก เพื่อจะได้ไม่มีต้นทุนเพิ่มจากดอกเบี้ย และลดผลกระทบจากความเสี่ยงที่ยอดขายอาจไม่เป็นไปตามคาด แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้สินเชื่อควรเลือกให้เหมาะกับความต้องการ เช่น เงินทุนเพื่อซื้อวัตถุดิบในแต่ละวัน ควรเลือกใช้สินเชื่อหมุนเวียนแบบที่ถูกคิดดอกเบี้ยเฉพาะวงเงินส่วนที่ใช้ วงเงินส่วนที่ไม่ใช้ไม่ถูกคิดดอกเบี้ย เป็นต้น
  2. ยื่นภาษีเงินได้ แม้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะแสดงจุดยืนว่าจะไม่เรียกเก็บภาษีเงินได้ย้อนหลังจากร้านค้าที่ร่วมโครงการ อย่างไรก็ตาม รายได้หลังจากนี้ก็ควรนำไปยื่นภาษี เพราะการชำระภาษีเป็นหน้าที่ของผู้มีเงินได้ทุกคน เช่นเดียวกับมนุษย์เงินเดือนและอาชีพอิสระ ดังนั้น
  • การจดบันทึกรายได้ หรือตรวจสอบยอดรายได้ย้อนหลังผ่านแอปเป๋าตังและแอปธนาคารที่ใช้รับเงิน ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเมื่อถึงกำหนดเวลายื่นภาษี (เช่น ก.ค.-ก.ย. ตอนกลางปี และ ม.ค.-มี.ค. ปีถัดไป) ต้องนำยอดรายได้ดังกล่าวไปยื่นภาษี ด้วยการแจ้งยอดขายหรือรายได้ที่ประเมินด้วยตนเองว่าที่ผ่านมามีรายได้เท่าไร ไม่ต้องมีเอกสารหรือหลักฐานยืนยัน หรือที่เรียกว่า “เงินได้พึงประเมิน”
  • ชำระภาษีเงินได้ให้ตรงเวลา จะได้ไม่มีเงินเพิ่มหรือค่าปรับ อย่างไรก็ตามภาษีที่ร้านค้าจ่ายโดยปกติมักต่ำกว่าภาษีที่มนุษย์เงินเดือนจ่าย เมื่อเทียบบนยอดขายและเงินเดือนที่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น รายได้จากการทำร้านอาหารหรือเครื่องดื่ม หากไม่มีการจัดเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายไว้ สามารถเลือกยื่นภาษีโดยหักค่าใช้จ่ายได้ในอัตราเหมา 60% ดังนั้น

-หากมียอดขายเดือนละ 50,000 บาท หรือปีละ 600,000 บาท จะเสียภาษีทั้งปีประมาณ 1,500 บาท ส่วนพนักงานประจำเงินเดือน 50,000 บาท จะเสียภาษีทั้งปีประมาณ 20,600 บาท หรือ 3.4%ของยอดขายทั้งปี

-หากมียอดขายเดือนละ 100,000 บาท หรือปีละ 1,200,000 บาท จะเสียภาษีทั้งปีประมาณ 19,500 บาท ส่วนพนักงานประจำเงินเดือน 100,000 บาท จะเสียภาษีทั้งปีประมาณ 122,750 บาท หรือ 10.2%ของยอดขายทั้งปี

** สมมติฐาน: ไม่มีรายได้อื่น มีค่าลดหย่อนเฉพาะลดหย่อนผู้มีเงินได้ 60,000 บาท และมนุษย์เงินเดือนมีลดหย่อนประกันสังคมปีละ 9,000 บาท

โครงการคนละครึ่ง หนึ่งในความหวังที่จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ คนใช้ได้ลดรายจ่าย ร้านค้ามีรายได้เพิ่ม อีกทั้งยังเพิ่มสิทธิเพื่อตอบแทนคนที่เสียภาษีอยู่แล้ว เพื่อให้ทุกคนได้รู้สึกมีส่วนร่วมไปกับโครงการคนละครึ่งเฟสนี้ ไปพร้อมกัน ส่วนมาตรการอื่นๆ คงต้องรอไอเดียกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ จากทีมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่จากข่าวเห็นว่ามีหน้าใหม่อยู่หลายคน

ราชันย์ ตันติจินดา

ราชันย์ ตันติจินดา

นักวางแผนการเงิน CFP

แชร์
ใช้ให้เป็น จ่ายให้คุ้ม กับคนละครึ่ง 2568