หนึ่งวันหลังจากที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโหวตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ซึ่งอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้รับเสียงสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีแบบฉลุย ก็ปรากฏภาพ ‘ว่าที่นายกรัฐมนตรี’ นั่งประชุมกับ ‘3 ว่าที่รัฐมนตรีคนนอก’ ที่ร้านกาแฟในอาคารที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ซึ่งสร้างความฮือฮาเป็นอย่างยิ่ง
ว่าที่รัฐมนตรีทั้ง 3 ประกอบด้วย ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ซึ่งจะได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในสมัยนายกฯเศรษฐา ทวีสิน (ผู้ช่วยของนายปานปรีย์ พหิทธานุกรณ์) ซึ่งจะได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ท่ามกลางการจับตามองว่าใครจะมาคุมกระทรวงสำคัญด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นเสมือนหัวใจของการดำเนินมาตรการต่างๆ ของรัฐ ชื่อของเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ กับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับการตอบอย่างดี มีเสียงชื่นชมจากคนหลากหลายวงการ
ประเด็นที่น่าจับตามองมากพอๆ กับคุณสมบัติของผู้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คือ การทำงานร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ผู้ดูแลนโยบายการคลัง กับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ วิทัย รัตนากร ซึ่งดูแลนโยบายการเงิน จะเป็นอย่างไร จะสอดประสานในทิศทางเดียวกันมากกว่าในยุครัฐบาลเพื่อไทยกับผู้ว่าแบงก์ชาติที่กำลังจะพ้นวาระหรือไม่
SPOTLIGHT จึงรวบรวมความเห็นภาคธุรกิจและภาคการลงทุนต่อการที่รัฐบาลอนุทินเลือก เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมถึงความเห็นต่อประเด็นการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีคลังคนใหม่กับผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่
ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด และนายกสมาคมสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) แสดงความเห็นกับ SPOTLIGHT ว่า การเลือกเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้นเหมาะสม
“ด้วยความที่รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่จะอยู่ไม่นาน ผมคิดว่ามีความจำเป็นที่ต้องใช้คนที่เข้าใจภาพเศรษฐกิจเป็นอย่างดี เข้าใจปัญหา เข้าใจว่าจะต้องทำอะไร รวมทั้งเข้าใจกลไกการทำงานของข้าราชการ ซึ่งคุณเอกนิติเป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการคลังอยู่แล้ว อยู่มาหลายกรม ผมคิดว่าท่านมีความเข้าใจดี ภาพเศรษฐกิจมหภาคไม่ต้องเดาเลย เพราะท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์และทำเรื่องเศรษฐกิจมหภาคมานานตั้งแต่อยู่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ส่วนกลไกการทำงานของราชการกับรัฐบาลท่านก็เข้าใจเป็นอย่างดี เพราะท่านทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย
“ดังนั้น ผมคิดว่า เป็นคนที่เหมาะต่อสถานการณ์พอดี ผมเชื่อว่าท่านคงเข้ามาสานต่อนโยบายบางนโยบายที่ท่านเห็นด้วย โดยเฉพาะถ้ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นท่านที่อยู่ในข่าว (วรภัค ธันยาวงษ์) ซึ่งมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว เป็นที่ปรึกษาของคุณพิชัย ชุณหวชิร ก็จะเข้าใจดีว่ารัฐบาลที่แล้วทำอะไรไว้ แล้วจะสานต่อเรื่องไหนอย่างไรบ้าง ก็จะมีความต่อเนื่องระดับหนึ่ง ประกอบกับทั้งสองเป็นบุคลากรที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้วในแวดวงเศรษฐกิจและการเงิน ผมคิดว่าดี เป็นการเลือกใช้ถูกคน และเชื่อว่าน่าจะสร้างผลงานได้ ทั้งเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น รวมทั้งการวางรากฐานไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว” ไพบูลย์แสดงความเห็น
ส่วนการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีคลังกับผู้ว่าฯแบงก์ชาตินั้น ไพบูลย์มองว่า “ไม่น่ามีปัญหา ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก อาจจะมองต่างมุมกันเล็กน้อย แต่ผมคิดว่าคุณเอกนิติเป็นข้าราชการเก่าอยู่แล้ว ท่านน่าจะเข้าใจการทำงานของแต่ละองค์กรอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร และอะไรควรจะพูดหรือไม่พูด ฉะนั้น การทำงานน่าจะราบรื่น และเรากำลังจะได้ผู้ว่าการแบงก์ชาติท่านใหม่ ผมคิดว่าน่าจะไปได้ดี ไม่มีปัญหา ผู้ว่าแบงก์ชาติก็มาจากธนาคารรัฐ มีความเป็นรัฐอยู่พอสมควร และเป็นนายธนาคารด้วย น่าจะเข้าใจว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรต้องทำ อะไรไม่ต้องทำ”
นอกจากนั้น ไพบูลย์บอกถึงความคาดหวังของตลาดทุนว่า หวังจะเห็นทั้งสองท่านขับเคลื่อนตลาดทุนให้กลับไปสู่ระดับที่เคยเป็นผู้นำของอาเซียนมาก่อน ซึ่งหลังๆ บทบาทนี้ของไทยถูกลดทอนไป เพราะปัจจัยปัญหาภายในของไทยเอง คือ เศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตในอัตราสูงเท่าประเทศอื่นๆ
“ถ้ารัฐบาลนี้และรัฐบาลหน้าทำให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้ในระดับ 3%-4% เหมือนที่เคยทำได้ ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อย่างน้อยถ้าสร้างความคาดหวังได้ก็จะนำมาสู่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะสูงขึ้น กระแสเงินอาจจะไหลเข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้น น่าจะทำให้ในระยะยาวตลาดทุนของเรามีความน่าสนใจมากขึ้น ก็หวังว่าจะไม่ลืมตลาดทุน และพยายามใช้ตลาดทุนเป็นกลไกการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิสโก้ และนายกสมาคมสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าว
บทวิเคราะห์ของ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ประจำวันที่ 8 กันยายน 2568 มองว่า การก่อตั้งรัฐบาลภูมิใจไทยภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการบริหารเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะหากมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีคนนอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ โดยล่าสุดมีกระแสข่าวว่า ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประกาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง
InnovestX มองว่า นโยบายที่คาดว่าจะได้รับการสานต่อและพัฒนาต่อไปน่าจะเป็นโครงการระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่งรูปแบบใหม่ ขณะที่ต้องจับตาว่าโครงการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีอยู่แล้ว เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ โครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการสะพานเชื่อมโยงภูมิภาค ว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ เพียงใด เนื่องจากเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมที่พรรคภูมิใจไทยเป็นเจ้ากระทรวง แต่เป็นโครงการที่ต้องใช้เวลาและมีผลผูกพัน
นอกจากนี้ มาตรการสวัสดิการและการช่วยเหลือประชาชนรายได้น้อยที่ดำเนินการอยู่จะได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยความเป็นไปได้ในการผลักดันโครงการ Negative Income Tax มีมากขึ้น รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนและข้อตกลงการค้าเสรีที่อยู่ระหว่างการเจรจาทั้งกับสหรัฐและยุโรป
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) แสดงความเห็นกับ SPOTLIGHT ว่า ดร.เอกนิติมีความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้ความสามารถครบถ้วน เพราะมีประสบการณ์ในเกือบทุกกรมของกระทรวงการคลังมาแล้ว มีความเข้าใจในเรื่องวินัยการเงินการคลังของประเทศ ขณะเดียวกันก็มีความเข้าใจในการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย
“ดังนั้น เชื่อว่านี่คือรัฐมนตรีคลังที่ดีที่สุดในช่วงเวลานี้ที่รัฐบาลชุดนี้จะสามารถหาได้ ส่วนการทำงานร่วมกับ ดร.วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น เชื่อว่าจะสามารถทำงานสอดประสานกันได้ดีอย่างแน่นอน เนื่องจากทั้งสองท่านเป็นศิษย์เก่าเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยกันทั้งคู่ มีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว”
นอกจากนั้น ดร.ปิยศักดิ์วิเคราะห์ว่า มุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ในปัจจุบันมองว่าเศรษฐกิจไทยมีเงินเฟ้อต่ำค่อนข้างยาวนาน ดังนั้น โอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยแรงแรงคงมีไม่มากนัก ประเมินว่าปีนี้อาจได้เห็นการลดดอกเบี้ยจากแบงก์ชาติอีกหนึ่งครั้ง ส่วนปีหน้า 2569 น่าจะเห็นการลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้ง
“ดังนั้น ภาพของการดูแลเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้มีโอกาสจะเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลใหม่มีงบประมาณผ่านแล้ว สามารถนำมาใช้ดูแลเศรษฐกิจได้ทันที แตกต่างจากในยุคนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ที่งบประมาณล่าช้า
“ขณะเดียวกันนโยบายคนละครึ่งที่นายกฯอนุทิน ระบุว่าจะนำมาใช้ ก็มีผลดีต่อเศรษฐกิจ ใช้งบประมาณไม่มากเกินไปและคาดว่าจะมีผลต่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ราว 0.13%
“ภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วย” ดร.ปิยศักดิ์กล่าว
ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการด้านกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด แสดงความเห็นกับ SPOTLIGHT ต่อการที่รัฐบาลอนุทินเลือก เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า เป็นการ “เลือกถูกคน” เพราะมีประสบการณ์การทำงานในกระทรวงการคลังมานาน เรียกว่าเป็นลูกหม้อกระทรวงการคลัง เคยเป็นอธิบดีหลายๆ กรมในกระทรวงการคลัง ส่วนในแง่ความรู้ความเป็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ก็ได้รับการยอมรับในแวดวงนักเศรษฐศาสตร์สูง
“จะเห็นได้ว่าไม่มีใครออกมาแสดงความเห็นว่าตำแหน่งรัฐมนตรีคลังไม่เหมาะสมกับคุณเอกนิติ ทุกคนแฮปปี้หมด ถ้ามองในแง่ความรู้ความเข้าใจเศรษฐกิจของประเทศ อาจารย์เอกนิติเป็นหนึ่งในคนที่ผลักดันเรื่อง Thailand Future Fund แสดงว่าท่านเข้าใจความเป็นประเทศไทยเป็นอย่างดี และเคยทำงานใหญ่ๆ มาแล้ว
“โดยสรุป เป็นตำแหน่งที่เหมาะสม และมุมมองจากต่างชาติที่มองเข้ามา ผมอ่านจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ทุกคนแฮปปี้กับตำแหน่งรัฐมนตรีคนนอกของคุณอนุทิน เขามองว่าเป็นเรื่องที่ดี เรียกความเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่ง”
ส่วนประเด็นความไม่สอดประสานกันระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทยที่เคยเป็นประเด็นมาก่อนหน้านี้ ประกิตบอกว่า “รับรองว่าไม่เห็นแน่ๆ” โดยอธิบายว่า ส่วนหนึ่งเพราะทิศทางของแบงก์ชาติจะผ่อนปรน (dovish) มากขึ้น และเนื่องจาก วิทัย รัตนากร ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ก็มาจากการเสนอชื่อของกระทรวงการคลัง ดังนั้น น่าจะคุยกับรัฐบาลได้อยู่แล้ว
“การประสานงานกับรัฐมนตรีคลังยิ่งไม่มีปัญหาเลย อาจารย์เอกนิติเขาไนซ์สำหรับทุกคน ด้วยบริบทปัจจุบัน นโยบายการเงินน่าจะสอดรับกับนโยบายการคลัง คือ นโยบายการคลังกระตุ้นเต็มที่ ไม่ต้องกลัวเรื่องภาวะเงินเฟ้อ ในขณะเดียวกัน ก็สามารถใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายได้ ผมว่าน่าจะสอดประสานกันได้เป็นอย่างดี ภาพความขัดแย้งอย่างที่ผ่านมาน่าจะไม่เห็น”
นอกจากนั้น ประกิตบอกว่า อารมณ์ตลาดเบื้องต้นในตอนนี้มองว่าก้าวแรกพอผ่านไปได้ ติดแค่ตรงที่รัฐมนตรีต่างตอบแทน ที่ยังไม่ประทับใจ
“ความคาดหวังต่อรัฐบาล คือ คาดหวังว่าจะมีการยุบสภาตามสัญญาจริงๆ เพราะถ้าไม่ยุบสภา รัฐบาลจะขาดความเชื่อมั่นทันที ซึ่งไม่เป็นผลดี ไม่ว่ารัฐบาลจะทำงานดีแค่ไหนก็ตาม แต่พูดอย่างไรไว้ก็ต้องทำอย่างนั้น” ประกิตกล่าว
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย แสดงมุมมองกับ SPOTLIGHT ว่า ดร.เอกนิติ เป็นคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และตนเองมีความเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนนโนบายของกระทรวงการคลังของ ดร.เอกนิติ เนื่องจาก ดร.เอกนิติมีความรู้ความสามารถ ทำงานในกระทรวงการคลังมาหลายสิบปี ผ่านการทำงานมาครบทุกกรม น่าจะเข้าใจกระบวนการทำงานและสามารถขับเคลื่อนงานภายใต้ข้อจำกัดและเงื่อนไขต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
“นอกจากนั้น มองว่าท่านเป็นคนรุ่นใหม่ น่าจะทำงานได้เร็ว มีความคล่องตัว และเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ท่านน่าจะรู้คุ้นเคยอยู่แล้ว เป็นจุดเด่นของท่านที่น่าจะเป็นประโยชน์ เป็นกำลังใจให้ท่านได้เร่งขับเคลื่อนนโยบาย”
สำหรับประเด็นการทำงานร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกับผู้ว่าการแบงก์ชาติ แสงชัยมองว่า น่าจะเป็นไปด้วยดี โดยอธิบายว่า ผู้ว่าแบงก์ชาติท่านใหม่คนมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ อยู่กับเศรษฐกิจฐานรากมายาวนาน ขณะที่รัฐมนตรีคลังคนใหม่ก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน น่าจะมีความคุ้นเคยกัน น่าจะสามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ เพื่อที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถลดความขัดแย้งที่มักเกิดขึ้นระหว่างกระทรวงการคลังแบงก์ชาติ
“เราหวังว่าทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายการคลังกับนโยบายการเงินจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป้าหมาย คือ ประเทศชาติ ประชาชน และเศรษฐกิจไทย” แสงชัยฝากความหวัง