กกร. ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ไทยปี 2568 เป็น 2.2% หลังสหรัฐฯ ลดภาษีเหลือ 19% แทน 36% และการส่งออกคาดโต 2-3% แต่เตือนครึ่งปีหลังเศรษฐกิจชะลอจากการแข่งขันราคารุนแรง บาทแข็ง ท่องเที่ยวลด และความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ขณะเดียวกันไทยต้องเร่งปรับตัวสร้างขีดแข่งขันระยะยาวและเพิ่ม local content
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้จัดการประชุมประจำเดือนสิงหาคม 2568 โดยมีนายผยong ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยและประธาน กกร. เป็นประธานในการประชุม พร้อมด้วย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ร่วมประชุมในฐานะประธานร่วม
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้จัดการประชุมประจำเดือนสิงหาคม 2568 โดยมีนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยและประธาน กกร. เป็นประธานในการประชุม พร้อมด้วย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ร่วมประชุมในฐานะประธานร่วม
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณดีขึ้นภายหลังที่สหรัฐอเมริกาประกาศข้อตกลงทางภาษีกับหลายประเทศ โดยอัตราภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ได้รับการปรับลดลงจากที่เคยประกาศในเดือนเมษายน โดยเฉพาะสำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชียและอาเซียน
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับเพิ่มการประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2568 เป็นเติบโต 3% จากเดิมที่ 2.8% แม้ว่าจะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ประมาณ 3.5% ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวที่เกิดจากนโยบายกำแพงภาษีสูง และความไม่ชัดเจนในรายละเอียดการดำเนินงาน โดยเฉพาะประเด็นภาษีสินค้า transshipment และการกำหนดสัดส่วน local content ของแต่ละประเทศ
ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมรับมือทั้งในระยะสั้นและการเปลี่ยนผ่านในอนาคต ในระยะสั้น การแข่งขันด้านราคาจะทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งสินค้าส่งออกของไทยและสินค้าที่ขายในประเทศซึ่งต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้น สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรต่ำ
ประเทศไทยต้องเร่งสำรวจการใช้ Local Content เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษี transshipment รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนพิธีการศุลกากรและการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่จำหน่ายในประเทศ
นโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาถือเป็น "สัญญาณปลุก" ให้ไทยใช้โอกาสนี้ในการปรับตัวเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ซึ่งต้องดำเนินการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม กำหนด Priority Sectors ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ยกระดับกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมต้นน้ำเพื่อเพิ่ม local content เพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุน ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม และยกระดับทักษะแรงงานไทย แรงงานต่างด้าว และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชน
กกร. คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวอยู่ในช่วง 1.8-2.2% ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 1.5-2.0% ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว 2-3% สูงกว่าประมาณการเดิมเช่นกัน
ความสำเร็จจากการเจรจาการค้าทำให้ไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่ 19% แทน 36% ซึ่งยังต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดที่ต้องเจรจากันต่อไป เบื้องต้นทำให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถือเป็นการหลีกเลี่ยง worst case scenario ได้
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังคาดว่าจะชะลอตัว เนื่องจากการส่งออกแผ่วลงหลังหมดปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งส่งออก การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ และกำลังซื้อของผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่ลดลงจากเงินเฟ้อ
รายได้จากการท่องเที่ยวชะลอตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวระยะใกล้ (short haul) ที่ชะลอตัว รวมทั้งผลกระทบจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีและต้นปีหน้าอาจมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะภาคส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ อย่างชัดเจน และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศคู่แข่ง ซึ่งจะแตกต่างกันในแต่ละประเภทสินค้าและการจัดเก็บสินค้าคงคลังที่ไม่เท่ากัน
กกร. ชี้ให้เห็นว่าไทยยังขาดข้อมูลสำคัญด้านโครงสร้างการผลิตรายอุตสาหกรรม เช่น การใช้วัตถุดิบขั้นต้นและขั้นกลางในประเทศ รวมถึง Regional Value Content ซึ่งภาคเอกชนได้เริ่มสำรวจและเก็บข้อมูลพื้นฐานเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐและหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อการตัดสินใจและเจรจาภายใต้กรอบการค้าโลกรูปแบบใหม่ (New trade paradigm) โดยบทบาทของไทยในอาเซียนจะเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก