ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในฟากของการค้าโลกก็มีการบรรลุข้อตกลงภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯออกมาต่อเนื่อง การเจรจาระหว่างไทยกัมพูชาในวันนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่สหรัฐฯใช้ในการตัดสินใจว่าจะเจรจาการค้าด้วยหรือไม่ ก่อนถึงเส้นตาย 1 ส.ค.2568
สหภาพยุโรป หรือ EU ซึ่งมีสมาชิก 27 ประเทศรวมกัน เป็นกลุ่มประเทศล่าสุดที่สามารถปิดดีลการค้าสหรัฐฯสำเร็จแล้ว เมื่อวานนี้ (27 ก.ค.2568) โดยสหรัฐฯ คิดอัตราภาษีกับสินค้าที่ส่งมาจาก EU ในอัตรา 15% ลดลงจากที่เคยขู่ไว้ถึง 30% ก่อนหน้านี้
แลกกับการที่สหภาพยุโรป ต้องจัดซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 750,000 ล้านดอลลาร์ จัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหารมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์แต่ไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจน รวมทั้งลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ อีก 600,000 ล้านดอลลาร์ จากระดับการลงทุนในปัจจุบัน
ดีลของสหรัฐ-อียู นี้นักวิเคราะห์มองว่า คล้ายคลึงกับญี่ปุ่น ซึ่งทรัมป์เองระบุว่า นี่เป็นปิดดีล การค้าที่ใหญ่ที่สุด และการลงทุนเพิ่มของอียูในสหรัฐฯ สูงกว่าที่ปิดดีลกับญี่ปุ่นซึ่งต้องลงทุนในสหรัฐฯ 5.5 แสนล้านดอลลาร์
บรรยากาศจึงเป็นไปด้วยความชื่นมื่น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จับมือ และแถลงข่าวร่วมกับ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เออร์ซูลา วอน แดร์ เลเยน ที่สก็อตแลนด์
ทรัมป์ระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้มีการเก็บภาษี 15% กับสินค้านำเข้าจากยุโรปส่วนใหญ่เข้าสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ด้วย
อย่างไรก็ตาม เออร์ซูลา วอน แดร์ เลเยน กล่าวในการแถลงข่าวหลังประกาศข้อตกลงว่า สินค้าบางประเภทจะได้รับการยกเว้นจากภาษี เช่น
“เราจะยังคงเดินหน้าทำงานต่อ เพื่อเพิ่มรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นเข้าไปอีก” วอน แดร์ เลเยน กล่าว พร้อมเสริมว่า สินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังคงอยู่ระหว่างการเจรจา
เธอย้ำอีกว่า อัตราภาษี 15% ใหม่นี้ จะไม่ถูกนำไปรวมกับภาษีเดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่า จะไม่มีการซ้อนภาษีเพิ่มเติม บนสินค้าที่ถูกเก็บภาษีอยู่ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม อัตราภาษี 15% ดังกล่าว ต่ำกว่าระดับ 30% ที่ทรัมป์เคยขู่จะใช้กับประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ อย่างสหภาพยุโรป แต่ในขณะเดียวกัน ก็สูงกว่าอัตราภาษีพื้นฐานที่สหภาพยุโรปต้องการที่ระดับ 10%
“นี่เป็นข้อตกลงที่ทรงพลังมาก เป็นข้อตกลงที่ยิ่งใหญ่มาก และเป็นข้อตกลงที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาทุกข้อตกลง” ทรัมป์กล่าว
“นี่เป็นข้อตกลงที่ดี ข้อตกลงที่ยิ่งใหญ่ ผ่านการเจรจาที่เข้มข้น”เออร์ซูลา วอน แดร์ เลเยน กล่าว
ท่าทีของผู้นำยุโรปต่างแสดงความยินดีต่อการบรรลุข้อตกลงครั้งนี้ ท่ามกลางความโล่งใจที่ดูเหมือนว่าสหภาพยุโรปจะหลีกเลี่ยงสงครามการค้าได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ผู้นำบางรายก็แสดงความระมัดระวังต่อเงื่อนไขในดีลนี้กับสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ มิเชล มาร์ติน (Micheál Martin) กล่าวในแถลงการณ์ว่า ข้อตกลงดังกล่าว “ช่วยสร้างความชัดเจนและการคาดการณ์ให้กับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐฯได้”
อย่างไรก็ตาม สำนักงานนายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ (Department of the Taoiseach) ระบุว่า “ข้อตกลงนี้หมายความว่า จะมีการเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งจะส่งผลต่อการค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับสหรัฐฯ โดยทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและเผชิญความท้าทายมากขึ้น” แต่แม้จะมีความท้าทาย ในแถลงการณ์ยังกล่าวต่อว่า “ข้อตกลงนี้จะเปิดยุคใหม่แห่งเสถียรภาพ”
นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช แมร์ซ (Friedrich Merz) แสดงความยินดีต่อข้อตกลงใหม่นี้ โดยระบุว่า จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนี
“ด้วยการบรรลุข้อตกลงในการเจรจาระหว่างสหภาพยุโรปกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับภาษีนำเข้า เราจึงสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการค้า ที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจเยอรมนีที่เน้นการส่งออกได้สำเร็จ” นายฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวในแถลงการณ์
สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ก่อนหน้านี้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของเยอรมนีอย่าง VW, Mercedes และ BMW ต่างเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจาก ภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนในอัตรา 27.5% ที่สหรัฐฯ บังคับใช้ แต่ในข้อตกลงใหม่ถูกลดลงเกือบครึ่งเหลือ 15% การลดภาษีอย่างรวดเร็วในภาคส่วนนี้จึงมีความหมายอย่างยิ่ง
นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ ดิก สเคิฟ (Dick Schoof) โพสต์บนแพลตฟอร์ม X เมื่อวันอาทิตย์ว่า “หากไม่มีภาษีเลยก็คงจะดีกว่า” แต่ก็กล่าวชื่นชมคณะกรรมาธิการยุโรปที่สามารถเจรจาและ บรรลุข้อตกลงที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เขาระบุว่า ข้อตกลงนี้จะ “ช่วยเพิ่มความชัดเจนให้กับภาคธุรกิจของเรา และเสริมสร้างเสถียรภาพในตลาดมากขึ้น”
ผู้นำรัฐบาลอิตาลี รวมถึง นายกรัฐมนตรีจอร์เจีย เมโลนี (Giorgia Meloni) ออกแถลงการณ์ระบุว่า ข้อตกลงนี้ช่วยหลีกเลี่ยง “การเผชิญหน้ากันโดยตรงระหว่างสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก” และ “รับประกันเสถียรภาพ” ในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป
แถลงการณ์ยังกล่าวด้วยว่า อิตาลีมองว่า อัตราภาษี 15% เป็นระดับที่ “สามารถยอมรับได้” หากอัตราดังกล่าว รวมอยู่กับภาษีที่มีอยู่แล้ว และไม่ได้เป็นการเพิ่มภาษีเข้าไปอีก
ตามข้อมูลของ คณะมนตรียุโรป (European Council) ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปในปี 2024 มีมูลค่ารวม 1.68 ล้านล้านยูโร (ประมาณ 1.97 ล้านล้านดอลลาร์) โดยนับรวมทั้งการค้าบริการและการค้าสินค้า
แม้สหภาพยุโรปจะมี ดุลการค้าเกินดุลในภาคสินค้ากับสหรัฐฯ แต่ก็มี ดุลการค้าขาดดุลในภาคบริการ ส่งผลให้โดยรวมแล้ว สหภาพยุโรปยังคงเกินดุลราว 50,000 ล้านยูโรกับสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา