วันที่ 22 มิถุนายน 2568 นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ประกาศผ่านเฟซบุ๊กอย่างชัดเจนว่า กัมพูชาจะระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากประเทศไทยทั้งหมดโดยมีผลในทันทีตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันนั้น นับเป็นมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นจากการสั่งห้ามนำเข้าผักและผลไม้จากไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งสะท้อนว่าความขัดแย้งระหว่างสองประเทศกำลังก้าวเข้าสู่ระดับที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนมากขึ้น
ฮุน มาเนต ให้ความมั่นใจกับประชาชนว่า "บริษัทน้ำมันในกัมพูชายังสามารถจัดหาน้ำมันและก๊าซได้เพียงพอจากแหล่งอื่น เพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศ" พร้อมย้ำว่า กัมพูชาจะไม่สะเทือนเพียงเพราะสูญเสียการนำเข้าน้ำมันจากไทย
ขณะที่เพียงหนึ่งวันก่อนหน้านั้น ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและบิดาของฮุน มาเนต ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย แนะนำรัฐบาลกัมพูชาให้เปลี่ยนไปนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากประเทศอื่น พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะขยายขอบเขตการระงับนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม อาทิ อาหารกระป๋อง เครื่องดื่ม และเครื่องดื่มชูกำลัง
"เราจะไม่ล่มสลายเพียงเพราะไม่นำเข้าน้ำมันจากไทย" ฮุน เซน ระบุในโพสต์ พร้อมทิ้งน้ำหนักไปยังบริษัท ปตท. ของไทยว่า "ในทางกลับกัน บริษัท ปตท. อาจเป็นผู้ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบเสียเอง"
การกล่าวถึง ปตท. โดยตรงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะ ปตท. เป็นรัฐวิสาหกิจของไทยที่มีเครือข่ายธุรกิจในกัมพูชาค่อนข้างกว้างขวาง ทั้งสถานีบริการน้ำมันกว่า 186 แห่ง และร้านกาแฟ Amazon Cafe ที่ขยายตัวถึง 254 สาขาในประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้
ข้อสงสัยที่ตามมาคือ กัมพูชาจะหันไปพึ่งพาใคร? แหล่งพลังงานทดแทนใดที่กัมพูชาจะสามารถนำเข้าแทนไทยได้ทันที? และไทยมีบทบาทสำคัญขนาดไหนในฐานะผู้ส่งออกพลังงานให้กับกัมพูชา?
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาผู้อ่านเจาะลึกสถิติการนำเข้าเชื้อเพลิงของกัมพูชาแบบครบทุกมิติ เพื่อค้นหาคำตอบว่า ไทยถือเป็นผู้ส่งออกพลังงานหลักอันดับใด และประเทศใดบ้างที่อาจเข้ามาแทนที่ไทยในตลาดพลังงานของกัมพูชาได้ในระยะต่อไป
จากสถิติของ ASEANStats ประจำปี 2567 พบว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยนำเข้าเชื้อเพลิงแร่ น้ำมันแร่ ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นเชื้อเพลิงแร่ สารบิทูมินัส และขี้ผึ้งแร่ (mineral fuels, mineral oils and products of their distillation, bituminous substances, mineral waxes) รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ คิดเป็นมูลค่ารวม 3,848 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในจำนวนนี้ กัมพูชานำเข้าพลังงานจากประเทศในอาเซียนมากที่สุดเป็นสัดส่วนเกินกว่า 90% ของการนำเข้าทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่า 3,594 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อแยกเป็นรายประเทศ เวียดนาม คือคู่ค้าพลังงานอันดับหนึ่งของกัมพูชา โดยมูลค่าการส่งออกในปี 2567 อยู่ที่ 976.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 32,000 ล้านบาท) ขณะที่ ไทยตามมาเป็นอันดับที่ 2 ด้วยมูลค่าการส่งออกพลังงาน 938.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท)
อันดับอื่น ๆ ได้แก่
จากข้อมูลดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าแม้กัมพูชาจะพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากไทยในสัดส่วนที่สูง แต่ก็มีความหลากหลายในการนำเข้าจากหลายประเทศ ทั้งในภูมิภาคอาเซียน เอเชีย รวมถึงแหล่งที่อยู่ไกลออกไปอย่างแอฟริกาและตะวันออกกลาง
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแหล่งนำเข้าอาจทำให้ต้นทุนของกัมพูชาเพิ่มขึ้น ทั้งในแง่ของค่าขนส่งและระยะเวลาการขนส่ง เมื่อเทียบกับไทยที่มีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์และโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งที่พร้อมรองรับอยู่แล้ว
ในกรณีที่ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชายังยืดเยื้อ กัมพูชาอาจต้องเร่งเจรจาขยายความร่วมมือกับเวียดนาม สิงคโปร์ หรือแม้แต่แหล่งพลังงานจากนอกภูมิภาคเพื่อชดเชยการหยุดชะงักของน้ำมันจากไทย แต่ในระยะสั้น ไทยยังคงเป็นแหล่งพลังงานที่ยากจะถูกแทนที่ในทันที โดยเฉพาะในช่วงที่ภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งเป็นกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันสำคัญของโลกกำลังประสบปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ทำให้ราคาน้ำมันผันผวน และอาจพุ่งสูงขึ้นในกรณีความขัดแย้งและการปะทะลุกลามไปเป็นสงครามเต็มรูปแบบ
ข้อจำกัดนี้ทำให้แม้กัมพูชาจะมีทางเลือกอื่นในการนำเข้าพลังงาน แต่ไทยยังคงเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับสองที่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางพลังงานของกัมพูชา ซึ่งการระงับการนำเข้าจากไทยในครั้งนี้อาจส่งผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจไทยและเสถียรภาพด้านพลังงานของกัมพูชาในระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของต้นทุนและห่วงโซ่อุปทานที่อาจไม่ราบรื่นเหมือนเดิม