การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้ม “ชะลอตัวลงเล็กน้อย” และอาจจำเป็นต้องอาศัยการหารือโดยตรงระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) กล่าวกับ Fox News เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
“ผมเชื่อว่าเราจะมีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จีนอีกครั้งในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า” เบสเซนต์กล่าว พร้อมระบุว่าอาจมีการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่าย “ในช่วงเวลาที่เหมาะสม”
เมื่อเดือนเมษายนและช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศเผชิญความตึงเครียดด้านการค้าอย่างรุนแรง ก่อนจะบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม โดยเห็นพ้องที่จะระงับแผนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าซึ่งอาจเกิน 100% เป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน หรือจนถึงกลางเดือนสิงหาคม ขณะนี้เจ้าหน้าที่การทูตยังคงติดต่อกันอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งยังไม่จบสิ้น โดยสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลปักกิ่ง ขณะที่จีนยังไม่ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
“ด้วยความซับซ้อนของปัญหาในปัจจุบัน ผมเห็นว่าผู้นำของทั้งสองประเทศควรเข้ามามีบทบาทโดยตรงในการเจรจา” เบสเซนต์กล่าว “ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีพอสมควร และผมมั่นใจว่าจีนจะพร้อมเจรจา หากประธานาธิบดี [โดนัลด์] ทรัมป์ ส่งสัญญาณที่ชัดเจน”
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้พูดคุยกันครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งในสมัยที่สอง แม้ทรัมป์เคยแสดงความตั้งใจที่จะเจรจากับผู้นำจีนอีกครั้ง แต่หลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลจีนจะตอบรับก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าสหรัฐฯ จะไม่ดำเนินมาตรการจู่โจมจีนที่จะกระทบต่อบรรยากาศการเจรจาอีกครั้ง
แม้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงดำเนินต่อไป แต่ประเด็นใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นกลับยิ่งเพิ่มความตึงเครียด โดยเฉพาะในเรื่องข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและมาตรการด้านการศึกษาระหว่างประเทศ
โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน เหยอ หย่งเฉียน เปิดเผยว่าทั้งสองประเทศยังคงสื่อสารกันอย่างต่อเนื่องหลังการประชุมที่เจนีวา อย่างไรก็ตาม ในประเด็นการควบคุมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ เธอเรียกร้องให้สหรัฐฯ “แก้ไขการกระทำที่ผิดพลาดทันที” และให้เคารพต่อฉันทามติที่ได้จากการเจรจาระดับสูงที่ผ่านมา โดยย้ำว่าจีนให้ความสำคัญกับการรักษาบรรยากาศความร่วมมือเชิงสร้างสรรค์
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการยกเลิกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากที่ประกาศใช้ในเดือนเมษายน เหยอไม่ได้ให้คำตอบโดยตรง แต่ชี้แจงว่ามาตรการของจีนสอดคล้องกับหลักการสากล และสะท้อนท่าทีของจีนที่ต้องการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค พร้อมเน้นว่าการควบคุมสินค้าที่อาจนำไปใช้ในทางทหารและพลเรือนนั้น เป็นเรื่องที่ประเทศใดก็มีสิทธิ์ดำเนินการได้เพื่อความมั่นคงของตนเอง
ขณะเดียวกัน ฝ่ายสหรัฐฯ ก็ได้ประกาศมาตรการใหม่ที่สร้างแรงกระเพื่อมทางการทูตเพิ่มเติม โดยรัฐบาลทรัมป์เตรียมเพิกถอนวีซ่านักเรียนจีนจำนวนหนึ่งในสัปดาห์นี้ ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในฝั่งปักกิ่ง
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เหมา หนิง กล่าวตอบโต้ว่า “การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการเพิกถอนวีซ่านักเรียนจีนเป็นการกระทำที่ขาดความชอบธรรม” พร้อมกล่าวหาว่าสหรัฐฯ ใช้ประเด็นด้านอุดมการณ์และความมั่นคงแห่งชาติเป็นข้ออ้างในการเลือกปฏิบัติ และเตือนว่าแนวทางเช่นนี้จะยิ่งบั่นทอนความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างสองประเทศ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในช่วงที่การเจรจากำลังอยู่ในจุดเปราะบาง การเดินเกมที่รุนแรงจากทั้งสองฝ่ายอาจส่งผลกระทบต่อโอกาสในการหาข้อยุติร่วมกันในประเด็นการค้าและความร่วมมือในอนาคต
สำหรับการเจรจาการค้ากับประเทศอื่น แม้มาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากคำพิพากษาศาลการค้าระหว่างประเทศเกี่ยวกับมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่การเจรจาการค้ากับประเทศอื่น ๆ ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีสัญญาณของการชะลอตัว
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีข้อตกลงการค้าฉบับใหญ่หลายฉบับใกล้จะบรรลุผล และในวันศุกร์นี้ ตามเวลาสหรัฐฯ เขามีกำหนดหารือกับคณะผู้แทนจากญี่ปุ่นที่กรุงวอชิงตัน ในกรอบการเจรจาขั้นสูง ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนจากคำสั่งศาลในประเทศ
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USCIT) มีคำพิพากษาว่ามาตรการภาษีนำเข้าจำนวนมากที่ทรัมป์เรียกเก็บภายใต้กฎหมายภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ (IEEPA) เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต และสั่งให้ยุติการจัดเก็บโดยทันที อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์กลางได้มีคำสั่ง “พักการบังคับใช้” คำพิพากษาดังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทำให้มาตรการภาษียังมีผลบังคับใช้ระหว่างรอการพิจารณาอุทธรณ์
แม้จะมีคำตัดสินทางกฎหมายที่อาจกระทบต่อโครงสร้างนโยบายการค้าสหรัฐฯ แต่เบสเซนต์ยืนยันว่า สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศคู่เจรจา
“เราไม่เห็นสัญญาณของการเปลี่ยนท่าทีจากคู่ค้าของเราเลย พวกเขายังมุ่งมั่นเจรจาอย่างจริงใจ เพื่อให้ทันกรอบเวลาชั่วคราว 90 วัน และในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ท่าทีของพวกเขายังคงมั่นคงเช่นเดิม” เบสเซนต์กล่าว