Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ผ่า‘One,Big,Beautiful Bill’ของทรัมป์ที่จ่อทำหนี้สหรัฐพุ่ง124ล้านล้านบ.
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ผ่า‘One,Big,Beautiful Bill’ของทรัมป์ที่จ่อทำหนี้สหรัฐพุ่ง124ล้านล้านบ.

23 พ.ค. 68
16:04 น.
แชร์

เมื่อวานนี้ เกิดข่าวใหญ่ขึ้นในวงการการเงินสหรัฐฯ เมื่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรครีพับลิกัน ลงมติผ่านร่างกฎหมายลดภาษีขนาดมหึมามูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขนานนามว่า “ร่างกฎหมายฉบับใหญ่ งดงาม” (One, Big, Beautiful Bill) ด้วยคะแนนเสียงเฉียดฉิว 215 ต่อ 214 เสียง โดยมีสมาชิกพรรครีพับลิกันสองรายร่วมคัดค้านกับพรรคเดโมแครต และอีกหนึ่งรายงดออกเสียง

การผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้นับเป็นชัยชนะทางการเมืองที่สำคัญของทรัมป์และไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร หลังจากต้องเจรจากับสมาชิกสายอนุรักษนิยมในพรรคอย่างเข้มข้น ซึ่งก่อนหน้านี้แสดงความกังวลว่า มาตรการลดภาษีครั้งนี้จะยิ่งซ้ำเติมสถานะทางการคลังของประเทศ

ตามการประเมินของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ร่างกฎหมายฉบับนี้จะเพิ่มภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ขึ้นอีกประมาณ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 10 ปี จากระดับปัจจุบันที่สูงถึง 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับหนี้สาธารณะที่สูงที่สุดในโลก การเพิ่มขึ้นของหนี้ในระดับนี้จึงอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในระยะยาว

สัญญาณความเปราะบางเริ่มปรากฏให้เห็นชัดขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ปี พุ่งทะลุระดับ 5% อีกครั้งในช่วงใกล้วันลงมติ บ่งชี้ถึงแรงกดดันจากตลาดการเงินที่สะท้อนความไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาลทรัมป์ โดยก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์ สถาบันจัดอันดับเครดิต Moody’s เพิ่งปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมคาดการณ์ว่าอัตราหนี้ต่อ GDP จะพุ่งจากราว 100% ในปัจจุบันเป็น 134% ภายในทศวรรษหน้า

ในบทความนี้ SPOTLIGHT ขอพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจถึงรายละเอียดของกฎหมาย One, Big, Beautiful Bill ฉบับนี้ ว่ามีเนื้อหาอย่างไร ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนชาวอเมริกันในรูปแบบใด และเหตุใดจึงกลายเป็นชนวนให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง

One, Big, Beautiful Bill คืออะไร?

ร่างกฎหมาย “One, Big, Beautiful Bill” ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญทางนโยบายเศรษฐกิจในวาระที่สองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายมาตรการลดภาษีมูลค่ารวมกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ กระตุ้นการบริโภค และเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติควบคู่กัน

สาระสำคัญของร่างกฎหมายคือการต่ออายุมาตรการลดภาษีตามกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act ปี 2017 ซึ่งจะหมดอายุภายในสิ้นปีนี้ให้เป็นมาตรการถาวร ขณะเดียวกันได้เสนอการขยายเพดานการหักลดหย่อนภาษีท้องถิ่นและภาษีรัฐ (SALT) จากเดิม 10,000 ดอลลาร์ เป็น 40,000 ดอลลาร์ต่อครอบครัว สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 500,000 ดอลลาร์ เพื่อตอบสนองข้อกังวลของสมาชิกรัฐสภาจากรัฐที่มีอัตราภาษีสูง

ร่างกฎหมายยังรวมมาตรการลดภาษีที่เป็นนโยบายหาเสียงของทรัมป์ ได้แก่

  • การยกเว้นภาษีทิป สำหรับแรงงานบริการ จนถึงสิ้นปี 2028
  • การยกเว้นภาษีค่าล่วงเวลา (OT) ถึงปี 2028
  • การให้หักดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อรถที่ผลิตในสหรัฐฯ สูงสุด 10,000 ดอลลาร์ จนถึงปี 2029
  • การเพิ่มเครดิตภาษีบุตร (Child Tax Credit) ชั่วคราวอีก 500 ดอลลาร์ รวมเป็น 2,500 ดอลลาร์ต่อบุตร จนถึงปี 2028
  • การ ยกเลิกภาษี 200 ดอลลาร์สำหรับอุปกรณ์เก็บเสียงปืน ที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 1934

นอกจากมาตรการดังกล่าว หนึ่งในข้อเสนอใหม่คือการจัดตั้งบัญชีออมทรัพย์สำหรับเด็กในชื่อ “Trump Accounts” (เดิมเรียก “MAGA Accounts”) โดยรัฐบาลจะฝากเงินเริ่มต้น 1,000 ดอลลาร์ให้เด็กที่เกิดระหว่างปี 2024-2028 พร้อมเปิดทางให้ผู้ปกครองออมเพิ่มได้สูงสุด 5,000 ดอลลาร์ต่อปี บัญชีดังกล่าวจะเติบโตแบบเลื่อนภาษี (tax-deferred) และสามารถถอนใช้เพื่อการศึกษา ฝึกอาชีพ หรือซื้อบ้านหลังแรกเมื่อบรรลุนิติภาวะ

ในมิติของนโยบายด้านแรงงานข้ามชาติ ร่างกฎหมายเสนอการจัดเก็บภาษี 3.5% จากเงินที่แรงงานต่างชาติส่งกลับประเทศ (remittances) จากเดิมที่เสนอไว้ 5% พร้อมจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับ การเนรเทศผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายได้สูงสุด 1 ล้านคนต่อปี โดยมีรายละเอียดงบประมาณดังนี้:

  • 4.65 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับการก่อสร้างกำแพงชายแดน
  • 4.1 พันล้านดอลลาร์ สำหรับการจ้างเจ้าหน้าที่ตระเวนชายแดน
  • 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการความมั่นคงชายแดนโดยรวม
  • มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ สำหรับโบนัสจูงใจบุคลากร
  • การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม 1,000 ดอลลาร์ จากผู้ยื่นขอลี้ภัย

ด้านกลาโหม ร่างกฎหมายได้จัดสรรงบประมาณรวม 1.50 แสนล้านดอลลาร์ให้กับกระทรวงกลาโหม โดยในจำนวนนี้ แบ่งเป็นงบ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับการพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธ “Golden Dome” อีก 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพเรือผ่านการต่อเรือเพิ่มเติม และอีก 9 พันล้านดอลลาร์เพื่อยกระดับสวัสดิการของทหาร ครอบคลุมด้านที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล และค่าตอบแทนพิเศษ

ร่างกฎหมายยังเสนอการขยายอายุผู้มีสิทธิรับสวัสดิการ SNAP (food stamps) จาก 54 ปี เป็น 64 ปี สำหรับผู้ไม่มีบุตร และผลักภาระค่าใช้จ่ายบางส่วนไปยังระดับรัฐ โดยรัฐจะต้องร่วมแบกรับ 5% ของค่าใช้จ่ายผลประโยชน์และ 75% ของค่าบริหารจัดการโครงการ SNAP เริ่มปีงบประมาณ 2028

ด้าน Medicaid มีการปรับเปลี่ยนให้ผู้ใหญ่ที่ไม่มีผู้อยู่ในความดูแลจะต้องทำงาน เรียน หรือทำกิจกรรมชุมชนอย่างน้อย 80 ชั่วโมงต่อเดือน เริ่มปี 2029 รวมถึงต้องตรวจสอบคุณสมบัติปีละ 2 ครั้ง และตัดสิทธิผู้มีบ้านที่มีมูลค่าเกิน $1 ล้าน CBO ประเมินว่ามาตรการนี้จะทำให้มีผู้สูญเสียสิทธิ์ด้านสุขภาพอย่างน้อย 7.6 ล้านคน

ในด้านพลังงาน รัฐบาลเสนอให้ลดระยะเวลาการให้เครดิตภาษีพลังงานสะอาด ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่รัฐบาลไบเดน โดยยุติการลดหย่อนภาษีสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ไม่เริ่มก่อสร้างภายใน 60 วันหลังร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้ และกำหนดให้เริ่มดำเนินการผลิตภายในปี 2028 (ยกเว้นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์)

ที่สำคัญ ร่างกฎหมายเสนอให้เพิ่มเพดานหนี้ของประเทศอีก 4 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ โดยรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนท์ ได้เตือนให้รัฐสภาจัดการประเด็นนี้ภายในกลางเดือนกรกฎาคม เพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินการชำระหนี้ได้ภายในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ พรรครีพับลิกันได้รวมประเด็นเพดานหนี้ไว้ในร่างกฎหมายงบประมาณฉบับเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเจรจากับพรรคเดโมแครต และใช้กลไกพิเศษทางกฎหมายเพื่อผ่านวุฒิสภาโดยไม่ต้องพึ่งเสียงฝ่ายค้าน

One, Big, Beautiful Bill จะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ?

จากรายละเอียดที่ปรากฏจะเห็นได้ว่า ร่างกฎหมาย “One, Big, Beautiful Bill” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นกรอบนโยบายที่รวมมาตรการด้านภาษีและการใช้จ่ายภาครัฐไว้ในฉบับเดียว โดยมุ่งลดภาระภาษีของประชาชน ขยายการอุดหนุนจากภาครัฐ และกำหนดทิศทางการใช้จ่ายใหม่ในประเด็นสำคัญ ทั้งในเชิงส่งเสริม เช่น ครอบครัวและผู้มีรายได้น้อย และเชิงตัดลด เช่น พลังงานสะอาดและสิทธิประโยชน์แรงงานข้ามชาติ

ในเชิงโครงสร้าง ร่างกฎหมายสะท้อนแนวทาง “ประชานิยมเชิงเศรษฐกิจ” ที่ให้น้ำหนักกับการลดภาษีให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง การสนับสนุนรายจ่ายในชีวิตประจำวัน (เช่น ค่าทิป ค่าล่วงเวลา การเลี้ยงดูบุตร) ควบคู่กับการลดบทบาทของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและจำกัดสิทธิประโยชน์ของชาวต่างชาติ ภายใต้เป้าหมาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ที่เน้นผลประโยชน์เฉพาะคนในประเทศ

อย่างไรก็ตาม แม้นโยบายดังกล่าวอาจช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและแรงจูงใจในระยะสั้น แต่ก็แลกมาด้วยต้นทุนทางการคลังในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจซ้ำเติมปัญหาดุลการคลังและหนี้สาธารณะที่กำลังอยู่ในระดับเปราะบาง

ด้วยการลดภาษีและขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีในวงกว้าง สำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) และนักวิเคราะห์จากสำนักต่างๆ คาดว่าร่างกฎหมายจะเพิ่ม หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ถึง 3.8-5.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 10 ปี และทำให้งบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นอีกกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณถัดไป 

โดยสัดส่วนใหญ่ของต้นทุนมาจากมาตรการภาษีที่ไม่มีผลต่อการเติบโตในระยะยาว เช่น การยกเว้นภาษีรายได้จากค่าล่วงเวลาและทิป การหักดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อรถยนต์การขยายเครดิตภาษีให้กับผู้สูงอายุทุกคน มาตรการข้างต้นมีต้นทุนรวมประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีแรก และอาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวหากต่ออายุมาตรการ

อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญคือ แนวทางที่ฝ่ายนิติบัญญัติใช้ในการจัดการกับภาษีของกิจการที่ไม่ใช่นิติบุคคล โดยในปี 2017 ได้มีการกำหนดมาตรการหักลดหย่อนรายได้จากธุรกิจในอัตรา 20% สำหรับกิจการที่ต้องเสียภาษีตามตารางอัตราภาษีบุคคลธรรมดา แทนที่จะเสียภาษีในอัตราภาษีนิติบุคคลที่ 21% ทั้งนี้ รายได้ของนิติบุคคลยังต้องเสียภาษีซ้ำอีกชั้นผ่านภาษีเงินปันผลและกำไรจากการขายสินทรัพย์ ดังนั้นกิจการที่ไม่ใช่นิติบุคคล หรือที่เรียกว่า “กิจการแบบส่งผ่านรายได้ (pass-throughs)” จึงได้รับผลกระทบที่แตกต่าง

ร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้มีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนสำหรับกิจการประเภทนี้ โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ การทำให้สิทธิลดหย่อนภาษีดังกล่าวเป็นมาตรการถาวร และเพิ่มอัตราการลดหย่อนจาก 20% เป็น 23% ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลสูญเสียรายได้มากกว่า 700,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า หรือสูงถึง 800,000 ล้านดอลลาร์ตามการประเมินของคณะกรรมาธิการภาษีร่วมของรัฐสภา (Joint Committee on Taxation) 

ผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้คือ การลดอัตราภาษีที่แท้จริงที่กิจการแบบส่งผ่านรายได้ต้องจ่ายลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกิจการในรูปแบบนิติบุคคล ซึ่งจะทำให้ระบบภาษีมีความเป็นกลางลดลงในด้านของรูปแบบธุรกิจ

ร่างกฎหมายยังหลีกเลี่ยงการปฏิรูปฐานภาษี โดยไม่ลดการหักลดหย่อนพิเศษ และยังคงสนับสนุนมาตรการภาษีที่ให้สิทธิพิเศษกับบางกลุ่ม เช่น เครดิตภาษีบ้านสำหรับรายได้น้อยและเครดิตของสหกรณ์เครดิตยูเนียน ซึ่งควรถูกยกเลิกเพื่อให้โครงสร้างภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดภาระทางการคลัง

ภายใต้ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง แนวโน้มทางการคลังของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ล่าสุด Moody’s ได้ปรับลดเครดิตของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ โดยชี้ถึงความไม่สมดุลระหว่างรายได้และค่าใช้จ่าย รวมถึงแนวโน้มขาดดุลต่อเนื่อง

อีกประเด็นที่น่ากังวลคือร่างกฎหมายซึ่งมีความยาวกว่า 1,000 หน้า ถูกเปิดเผยเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนลงมติในสภา ส่งผลให้หลายฝ่ายไม่สามารถพิจารณาเนื้อหาในเชิงลึกได้ทัน ซึ่งอาจมีมาตรการสำคัญที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบหรือวิเคราะห์ผลกระทบอย่างรอบด้านอีกมากมาย

ตลาดพันธบัตรส่งสัญญาณเตือนชัดเจน 

แม้ว่าทีมเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำโดยรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ จะพยายามยืนยันว่า “One Big Beautiful Bill” จะกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนและดึงดูดการลงทุนในประเทศ แต่ตลาดการเงินกลับส่งสัญญาณตรงกันข้าม ทั้งตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นต่างเผชิญแรงขายจนบอนด์ยีลด์พุ่งสูง โดยเฉพาะในวันที่กระทรวงการคลังเปิดประมูลพันธบัตรอายุ 20 ปีซึ่งได้รับความสนใจต่ำกว่าคาด

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อเสถียรภาพการคลังของรัฐบาล โดยจอห์น ฟาธ หุ้นส่วนผู้จัดการของ BTG Pactual Asset Management กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตลาดไม่มีผู้นำที่มีความรับผิดชอบ และคำถามสำคัญคือ ต้องเกิดอะไรขึ้นอีกจึงจะหยุดพฤติกรรมลักษณะนี้ได้?”

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน ทรัมป์เคยถอยจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ หลังตลาดพันธบัตรตอบสนองในเชิงลบอย่างรุนแรง โดยไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังประกาศใช้ เขากลับลำ ยุติการจัดเก็บภาษีส่วนใหญ่ พร้อมยอมรับว่า “ตลาดกำลังแสดงสัญญาณไม่สบายใจอย่างชัดเจน”

การที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงจะฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจผ่านต้นทุนเงินกู้ที่สูงขึ้น แต่ยังกดดันงบประมาณของรัฐบาลกลางอย่างหนัก โดยดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบสามทศวรรษ

จอร์จ คาตรัมโบน หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้ของ DWS Americas ตั้งคำถามว่า “ในสภาวะเช่นนี้ นักลงทุนยังกล้าให้รัฐบาลสหรัฐฯ กู้เงินระยะ 30 ปีในอัตรา 5% อีกหรือไม่?”

ความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น หลังมูดี้ส์ปรับลดอันดับเครดิตของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยให้เหตุผลว่าจุดแข็งทางเศรษฐกิจไม่สามารถชดเชยความเปราะบางทางการคลังได้อีกต่อไป โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่งบขาดดุลสูงเกิน 6% ของ GDP ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในช่วงสงครามหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การคลังของสหรัฐฯ

ท่าทีในวุฒิสภายังไม่ชัดเจน แม้ร่างกฎหมายผ่านสภาล่างฉิวเฉียด

แม้สภาผู้แทนราษฎรจะผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ด้วยคะแนนเสียงเฉียดฉิว 215 ต่อ 214 แต่เส้นทางในวุฒิสภายังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา จอห์น ธูน ออกมาเตือนว่า การถูกลดอันดับเครดิตควรถูกมองว่าเป็น “สัญญาณเตือนที่ต้องรับฟัง” พร้อมระบุว่าร่างกฎหมายฉบับสุดท้ายจะต้องมีวินัยทางการคลังที่เข้มงวดกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ต้องสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ในช่วงสุดสัปดาห์ก่อนวันหยุด Memorial Day ประธานาธิบดีทรัมป์เดินสายล็อบบี้เสียงสนับสนุนอย่างเข้มข้น ทั้งเดินทางเยือนรัฐสภา โทรศัพท์หาสมาชิกรัฐสภารายบุคคล และเชิญกลุ่มที่ยังลังเลเข้าสนทนาในทำเนียบขาว

อดีตประธานสภาผู้แทนฯ นิวท์ กิงริช ให้ความเห็นว่า “ยิ่งร่างกฎหมายนี้ผ่านเร็วเท่าไร ประชาชนก็จะได้รับผลประโยชน์เร็วขึ้น และถ้าเศรษฐกิจในปี 2026 กำลังเฟื่องฟูอย่างที่ทรัมป์คาดการณ์ไว้ พรรครีพับลิกันก็จะยังสามารถครองเสียงข้างมากต่อไปได้”

อย่างไรก็ตาม หากพรรคไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมายนี้ให้เป็นกฎหมายได้ทัน และเศรษฐกิจยังถูกกดดันจากผลกระทบของภาษีนำเข้า แนวโน้มที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะลงโทษพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2026 ก็มีความเป็นไปได้สูง


อ้างอิง: AP, Tax Foundation, Bloomberg, Reuters

แชร์
ผ่า‘One,Big,Beautiful Bill’ของทรัมป์ที่จ่อทำหนี้สหรัฐพุ่ง124ล้านล้านบ.