เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี 2568 โต 3.1% หนุนโดยภาครัฐและส่งออก แต่ยังรั้งท้ายอาเซียน คาดทั้งปีขยายตัวเพียง 1.8% จากแรงกดดันภายนอกและหนี้ครัวเรือนสูง
วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสแรกของปี 2568 โดยเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากแรงหนุนของภาคการส่งออกที่ขยายตัว และการลงทุนภาครัฐที่เร่งการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยอัตราการเติบโตนี้สะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ที่เศรษฐกิจไทยเติบโตร้อยละ 3.3
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ไม่รวมเมียนมา เศรษฐกิจไทยยังเติบโตในระดับต่ำที่สุด โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวร้อยละ 6.9 สูงสุดในภูมิภาค ขณะที่ฟิลิปปินส์ขยายตัวร้อยละ 5.4 อินโดนีเซียร้อยละ 4.9 มาเลเซียร้อยละ 4.4 และสิงคโปร์ร้อยละ 3.8 สะท้อนถึงแรงขับเคลื่อนที่ยังจำกัดของเศรษฐกิจไทย แม้จะมีการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคส่งออก
สำหรับแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี สศช.และหน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจหลายแห่งได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงมาอยู่เฉลี่ยที่ร้อยละ 1.8 เนื่องจากความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว การฟื้นตัวของภาคเอกชนที่ยังไม่แข็งแกร่ง รวมถึงมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการปรับขึ้นภาษีนำเข้าตามแนวนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี
ขณะเดียวกัน ความเปราะบางของอุปสงค์ในประเทศยังคงเป็นปัจจัยถ่วงการเติบโต โดยเฉพาะภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง กดดันกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และจำกัดช่องทางการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภายในประเทศ
ดังนั้น แม้เศรษฐกิจไทยจะยังสามารถขยายตัวได้ แต่ทิศทางในปีนี้จะต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากทั้งปัจจัยภายนอกและโครงสร้างเศรษฐกิจภายใน ซึ่งจำเป็นต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการหนี้ครัวเรือน เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้อย่างยั่งยืนในระยะต่อไป
ในไตรมาสแรกของปี 2568 การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวเพียงร้อยละ 2.6 ชะลอลงจากร้อยละ 3.4 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นการชะลอลงในทุกหมวดสินค้า สะท้อนพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ระมัดระวังของผู้บริโภค ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง
หมวดสินค้าไม่คงทน เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 1.9 ขยายตัวลดลงจากร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนถึงความอ่อนไหวของกำลังซื้อ แม้เป็นหมวดจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ขณะที่การใช้จ่ายในหมวดบริการ ซึ่งรวมถึงโรงแรม ภัตตาคาร และบริการสุขภาพ ขยายตัวร้อยละ 4.5 อัตราการเติบโตลดลงจากร้อยละ 6.4
สำหรับหมวดสินค้ากึ่งคงทน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องเรือน ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.9 ลดลงจากร้อยละ 3.7 โดยเฉพาะการใช้จ่ายเพื่อซื้อเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่งที่ลดลง ขณะที่หมวดสินค้าคงทนหดตัวร้อยละ 1.4 จากการลดลงของการซื้อยานพาหนะซึ่งหดตัวร้อยละ 2.0 แม้จะดีขึ้นจากการหดตัวถึงร้อยละ 21.2 ในไตรมาสก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 50.5 ในไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 51.5 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เริ่มฟื้นตัว แม้ยังไม่สามารถผลักดันการบริโภคให้กลับมาเติบโตได้เต็มศักยภาพ
อย่างไรก็ตาม แม้การบริโภคภาคเอกชนจะมีแนวโน้มซบเซาลง เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้จากการใช้จ่ายภาครัฐในไตรมาสแรกที่แม้จะขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ร้อยละ 3.4 จากร้อยละ 5.4 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังคงมีบทบาทสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจ โดยเฉพาะรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการที่ขยายตัวร้อยละ 9.8 รายจ่ายเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินขยายตัวร้อยละ 6.0 และค่าตอบแทนแรงงานขยายตัวร้อยละ 0.9
ด้านอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำอยู่ที่ร้อยละ 23.6 แม้จะต่ำกว่าร้อยละ 36.7 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 18.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความพยายามเร่งรัดการใช้จ่ายของภาครัฐ แม้จะยังมีข้อจำกัดในด้านกลไกการเบิกจ่ายบางส่วน
ในด้านการลงทุนรวมของประเทศ ขยายตัวร้อยละ 4.7 ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 5.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวร้อยละ 26.3 ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 แม้จะลดลงจากร้อยละ 39.4 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะการลงทุนของรัฐบาลกลาง ขณะที่การลงทุนของรัฐวิสาหกิจกลับลดลง
อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 12.8 ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 13.4 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 5.1 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนความก้าวหน้าในการเบิกจ่ายลงทุนเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ในทางกลับกัน การลงทุนภาคเอกชนหดตัวร้อยละ 0.9 ต่อเนื่องจากการหดตัวร้อยละ 2.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือหดตัวร้อยละ 0.3 แม้จะลดลงน้อยกว่าร้อยละ 1.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างยังคงหดตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.8 เทียบกับร้อยละ 3.9 ในไตรมาสก่อน
การชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชนสะท้อนถึงความไม่มั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า และความลังเลของภาคธุรกิจในการขยายกิจการหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และแรงกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง
ภาพรวมของการใช้จ่ายในไตรมาสนี้ จึงสะท้อนการฟื้นตัวที่ยังไม่ทั่วถึง โดยภาครัฐยังเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคเอกชนทั้งในด้านการบริโภคและการลงทุนยังเปราะบางและต้องการแรงหนุนเพิ่มเติมเพื่อกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโต.
ด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยในไตรมาสแรกปี 2568 แสดงสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่กลับมาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมีมูลค่ารวม 80,444 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวถึงร้อยละ 15.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเร่งขึ้นจากร้อยละ 10.6 ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 นับเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 13 ไตรมาส
แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากดัชนีปริมาณการส่งออก ที่ขยายตัวร้อยละ 14.0 เร่งขึ้นจากร้อยละ 9.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ดัชนีราคาส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 แม้จะชะลอลงจากร้อยละ 1.2 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังเป็นการขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งช่วยหนุนมูลค่าการส่งออกในภาพรวม
กลุ่มสินค้าเทคโนโลยีและวัตถุดิบหนุนการส่งออกอย่างโดดเด่น สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่
แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลกต่อสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงและวัตถุดิบภาคการผลิต
ขณะเดียวกัน สินค้าเกษตรและบางกลุ่มอุตสาหกรรมยังเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวของอุปสงค์หรือลดลงด้านราคา ส่งผลให้มูลค่าส่งออกลดลง เช่น
โดยเฉพาะการส่งออกข้าวที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากปัจจัยด้านการแข่งขันในตลาดโลกและภาวะราคาที่ผันผวน
ด้านตลาดส่งออกสำคัญของไทยยังคงเติบโตในทิศทางบวก โดยเฉพาะตลาด สหรัฐอเมริกา, จีน, กลุ่ม อาเซียน (9 ประเทศ) และ สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) ไม่รวมสหราชอาณาจักร ซึ่งยังคงมีความต้องการต่อสินค้าไทยในกลุ่มเทคโนโลยีและวัตถุดิบอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปยัง ออสเตรเลีย และ ฮ่องกง ยังคงอยู่ในทิศทางหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในบางภูมิภาค
ในด้านการนำเข้าสินค้า ไตรมาสแรกมีมูลค่ารวม 72,269 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 7.1 ชะลอลงจากร้อยละ 10.7 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณนำเข้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 และ ราคานำเข้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 สะท้อนถึงการฟื้นตัวของความต้องการในภาคการผลิตภายในประเทศ แม้จะเริ่มชะลอลงตามจังหวะการลงทุนภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ผลจากการส่งออกที่ขยายตัวในอัตราสูงกว่าการนำเข้า ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (276.4 พันล้านบาท) สูงกว่าการเกินดุล 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (182.3 พันล้านบาท) ในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน
ภาพรวมของภาคการค้าระหว่างประเทศในไตรมาสนี้จึงสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของภาคส่งออกในการประคับประคองเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางความเปราะบางของการบริโภคภายในและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังชะลอตัว
เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2568 ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและบริการในหลายสาขาสำคัญ โดยเฉพาะภาคเกษตร อุตสาหกรรม และค้าปลีกที่ขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่บางสาขา เช่น การท่องเที่ยว การก่อสร้าง และการขนส่ง เริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัวเล็กน้อย แต่ยังคงเติบโตในเกณฑ์ที่ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจโดยรวม
ในไตรมาสแรกของปี 2568 การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ขยายตัวร้อยละ 5.7 เร่งขึ้นจากร้อยละ 1.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวย ทำให้หมวดพืชผลกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาส ขณะที่หมวดปศุสัตว์และประมงยังขยายตัวต่อเนื่อง สินค้าเกษตรสำคัญที่การผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
ในทางตรงกันข้าม การผลิตปาล์มน้ำมันลดลง -9.6%, มันสำปะหลัง -3.3%, และสุกร -1.7%
แม้ปริมาณผลผลิตจะเพิ่มขึ้น แต่ดัชนีราคาสินค้าเกษตร กลับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส (-1.0%) จากราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ลดลง เช่น มันสำปะหลัง -41.2%, อ้อย -21.8%, ข้าวเปลือก -8.2% อย่างไรก็ตาม ดัชนีรายได้เกษตรกรยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ที่ร้อยละ 3.7
ด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 0.6 ต่อเนื่องจากร้อยละ 0.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยกลุ่มสินค้าที่ส่งออกเกิน 60% ของการผลิตมีการขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 อาทิ
ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดในประเทศหรือมีการส่งออกในสัดส่วนต่ำยังหดตัว เช่น
แม้บางอุตสาหกรรมจะยังเผชิญแรงกดดัน แต่ อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย อยู่ที่ 60.93% สูงขึ้นจาก 57.72% ในไตรมาสก่อน
ด้านการขายส่ง ขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ ขยายตัวร้อยละ 4.7 เร่งขึ้นจากร้อยละ 4.1 โดยดัชนีการขายส่ง (ไม่รวมยานยนต์) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 ตามการขยายตัวของการขายเครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องจักรอุปกรณ์ ส่วนดัชนีการขายปลีก (ไม่รวมยานยนต์) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า
แม้การขายยานยนต์และชิ้นส่วนยังหดตัว (-1.9%) แต่หมวดซ่อมบำรุงยานยนต์และจักรยานยนต์ยังคงขยายตัว สะท้อนถึงกิจกรรมเศรษฐกิจภายในที่มีความต่อเนื่อง
ด้านการท่องเที่ยวยังฟื้นตัว สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวร้อยละ 7.2 ชะลอลงจากร้อยละ 10.4 โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 9.549 ล้านคน หรือคิดเป็น 93.76% ของระดับก่อนโควิด-19 รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 4.54 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4%
การท่องเที่ยวภายในประเทศยังเป็นแรงหนุนสำคัญ โดยมีจำนวนการเดินทางของคนไทย 69.75 ล้านครั้ง (+2.6%) สร้างรายได้ 2.69 แสนล้านบาท (+16.1%) ส่งผลให้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวในไตรมาสนี้อยู่ที่ 7.23 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7
อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 74.93% แต่ยังต่ำกว่าระดับเดียวกันของปีก่อน (75.27%)
ด้านภาคก่อสร้างขยายตัวต่อเนื่องจากภาครัฐ แม้เอกชนยังซบเซา โดยสาขาการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 16.2 ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 18.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้แรงหนุนจากการก่อสร้างของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การก่อสร้างของรัฐวิสาหกิจลดลงครั้งแรกในรอบ 13 ไตรมาส และการก่อสร้างภาคเอกชนยังหดตัวเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน (-3.8%) โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ ยกเว้นโรงงานที่ยังเติบโตได้ (+3.7%)
ในไตรมาสแรกของปี 2568 เสถียรภาพโดยรวมของเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยตัวชี้วัดสำคัญสะท้อนถึงความสามารถในการรับมือกับแรงกดดันภายนอกและการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แม้บางตัวแปรจะเริ่มขยับสูงขึ้นเล็กน้อย
ในไตรมาสแรกของปี 2568 อัตราการว่างงานไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราการว่างงานในไตรมาสแรกอยู่ที่ ร้อยละ 0.89 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก ร้อยละ 0.88 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังต่ำกว่า ร้อยละ 1.01 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงตลาดแรงงานที่ยังคงมีเสถียรภาพ แม้การจ้างงานบางภาคส่วนจะเริ่มชะลอตัวตามกิจกรรมเศรษฐกิจบางสาขา
เงินเฟ้อทรงตัวในระดับต่ำ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ ร้อยละ 1.1 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งไม่รวมสินค้าอาหารสดและพลังงานอยู่ที่ ร้อยละ 0.9 บ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านราคาในระบบเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในระดับต่ำและสอดคล้องกับเป้าหมายนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูงขึ้น หนุนความมั่นคงภายนอก โดยไทยมี ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 10.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 355.2 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนถึงการฟื้นตัวของรายได้จากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งของฐานะด้านต่างประเทศ
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับสูง โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 ประเทศไทยมี เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ อยู่ที่ 245.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นระดับที่เพียงพออย่างมากต่อการรองรับความผันผวนจากภายนอกและการชำระหนี้ระยะสั้น
หนี้สาธารณะอยู่ในกรอบความยั่งยืน โดยหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ 12.08 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 64.4 ของ GDP แม้ยังอยู่ในกรอบวินัยการคลัง แต่ระดับหนี้ดังกล่าวสะท้อนถึงภาระทางการคลังที่ต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวังในระยะกลาง โดยเฉพาะภายใต้บริบทของรายได้ภาครัฐที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่
โดยภาพรวม เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในระดับมั่นคง ทั้งในด้านการเงิน การคลัง และภาคต่างประเทศ แม้ว่าจะต้องติดตามความเสี่ยงจากภายนอกและผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อฐานะการคลังในระยะต่อไป
จากการประเมินของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 1.3 – 2.3 โดยมีค่ากลางการประมาณการอยู่ที่ร้อยละ 1.8
แม้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังสามารถเติบโตได้ โดยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากการเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน การขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มกลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น แต่ระดับการเติบโตดังกล่าวยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เมื่อเทียบกับศักยภาพของเศรษฐกิจไทย
ในปี 2568 เศรษฐกิจยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยลบหลายประการ ได้แก่
ในปี 2568 แนวโน้มการขยายตัวของปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจหลักของไทยมีทิศทางดังนี้
การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในปี 2568 โดยเฉพาะภาคเอกชนที่คาดว่าจะเติบโตเพียงร้อยละ 2.4 ลดลงจากร้อยละ 4.4 ในปี 2567 และต่ำกว่าการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ร้อยละ 3.3 สาเหตุหลักมาจากการปรับลดสมมติฐานการจัดสรรงบประมาณภายใต้งบกลาง ในรายการค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของภาครัฐคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 1.3 ลดลงจากร้อยละ 2.5 ในปีก่อนหน้า และยังคงอัตราการเติบโตตามประมาณการเดิม
ภาพรวมการลงทุนในประเทศคาดว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 0.9 ในปี 2568 แม้จะดีขึ้นจากระดับทรงตัว (ร้อยละ 0.0) ในปี 2567 แต่ถือเป็นการปรับลดลงจากการประมาณการเดิมที่ร้อยละ 3.6
การลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัว โดยคาดว่าจะลดลงร้อยละ -0.7 จากการหดตัวร้อยละ -1.6 ในปีก่อนหน้า และต่ำกว่าประมาณการเดิมที่เคยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.2 ปัจจัยกดดันสำคัญคือแนวโน้มการส่งออกที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าจากประเทศเศรษฐกิจหลัก
ในทางตรงกันข้าม การลงทุนภาครัฐกลับมีแนวโน้มเร่งตัว โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.8 ในปีก่อนหน้า และสูงกว่าประมาณการเดิมที่ร้อยละ 4.7 ซึ่งเป็นผลจากการปรับเพิ่มกรอบงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปี 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้จ่ายภายใต้งบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
การส่งออกสินค้าของไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 1.8 ชะลอลงจากร้อยละ 5.8 ในปี 2567 และต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ร้อยละ 3.5 โดยเป็นผลจากการปรับลดสมมติฐานการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าโลก และแรงกดดันจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี
เมื่อรวมกับการส่งออกบริการที่ยังขยายตัวได้ดีตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว คาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการรวมกันจะเติบโตร้อยละ 3.5 ลดลงจากร้อยละ 7.8 ในปีก่อนหน้า และต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ร้อยละ 5.3
มูลค่าการนำเข้าสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.3 ลดลงจากร้อยละ 6.3 ในปี 2567 และปรับลดลงจากร้อยละ 4.0 ตามการชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกสินค้า
ในด้านปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการรวม คาดว่าจะเติบโตเพียงร้อยละ 0.4 จากร้อยละ 6.3 ในปีก่อนหน้า และปรับลดลงจากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 3.5 สอดคล้องกับกิจกรรมเศรษฐกิจภายในที่อ่อนแรง
ดุลการค้าคาดว่าจะเกินดุล 18.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 19.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 และจากประมาณการเดิมที่ 18.7 พันล้านดอลลาร์ สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของการส่งออกสินค้า
อย่างไรก็ตาม ดุลบริการมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่การนำเข้าบริการมีแนวโน้มลดลงตามการใช้จ่ายของคนไทยในต่างประเทศที่ลดลง ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 คาดว่าจะเกินดุล 13.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 2.5 ของ GDP เพิ่มขึ้นจาก 11.1 พันล้านดอลลาร์ หรือร้อยละ 2.1 ของ GDP ในปี 2567
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.0 - 1.0 โดยมีค่ากลางที่ร้อยละ 0.5 ลดลงจากค่ากลางประมาณการเดิมที่ร้อยละ 1.0 และใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2567 ที่อยู่ที่ร้อยละ 0.4 ปัจจัยสนับสนุนมาจากสมมติฐานราคาน้ำมันดิบที่ลดลง และมาตรการลดค่าไฟฟ้าที่จะมีผลในช่วงที่เหลือของปี
ภาพรวมแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญแรงกดดันหลายด้าน โดยเฉพาะจากภายนอกประเทศ แต่การบริหารนโยบายการคลังและภาคบริการที่ฟื้นตัว จะยังเป็นกลไกสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพโดยรวม
โดยสรุป แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังอยู่ภายใต้บริบทของการฟื้นตัวอย่างเปราะบาง การเติบโตที่ชะลอลงและมีแรงเสียดทานจากทั้งภายในและภายนอก แม้ภาครัฐจะมีบทบาทหนุนผ่านการลงทุนและการใช้จ่าย แต่การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการรับมือกับความไม่แน่นอนระดับโลกยังเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด