เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลกที่ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สงครามการค้ารอบใหม่มิได้จำกัดผลกระทบไว้เพียงประเทศต้นเหตุ แต่ลุกลามไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียนซึ่งเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ส่งผลให้ประเทศสมาชิกต้องเผชิญกับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจในระดับสูงกว่าภูมิภาคอื่น
เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับปรับปรุงล่าสุด ซึ่งสะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่เปราะบางและไม่แน่นอนยิ่งขึ้นจากปัจจัยด้านนโยบายภาษีระหว่างประเทศ รายงานฉบับนี้ไม่ได้เพียงปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก แต่ยังนำเสนอฉากทัศน์ทางเศรษฐกิจ 3 รูปแบบ เพื่อแสดงระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันจากผลกระทบของมาตรการภาษีที่สหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าใช้ตอบโต้กันอย่างเข้มข้น
ในบริบทเช่นนี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากความปั่นป่วนในระบบการค้าโลก เนื่องจากมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในระดับสูง
รายงานของ IMF ระบุว่า ประเทศไทยเป็นชาติที่จะเติบโตต่ำมากที่สุดในกลุ่มอาเซียน-5 (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย) โดยการคาดการณ์ GDP ในปี 2025 ถูกปรับลดลงเหลือเพียง 1.8% จากระดับ 2.9% ที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และคาดว่าจะลดลงอีกเหลือ 1.6% ในปี 2026 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในบรรดาประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ทั้งยังสะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยท่ามกลางแรงกดดันภายนอกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ฉบับปรับปรุงเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2025 IMF ระบุว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเปราะบางลงอย่างชัดเจน ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นเกี่ยวกับทิศทางของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ
รายงานครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ IMF เสนอสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในรูปแบบ "สามฉากทัศน์" ได้แก่
ภายใต้ฉากทัศน์อ้างอิง IMF คาดว่า GDP โลกในปี 2025 จะเติบโตเพียง 2.8% และ 3.0% ในปี 2026 โดยตัวเลขเหล่านี้ต่ำกว่าคาดการณ์ในเดือนมกราคมที่อยู่ที่ 3.3% และ 3.2% ตามลำดับ ขณะที่ภายใต้ฉากทัศน์ที่สาม ซึ่งประเมินภายหลังการเลื่อนการเก็บภาษีของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 9 เมษายน IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 2.8% ในปี 2025 และ 2.9% ในปี 2026 โดยให้เหตุผลว่า การประกาศมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบเชิงลบอย่างรุนแรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
รายงานนี้ยังชี้ว่า “ความไม่แน่นอนและความคาดเดาไม่ได้” ของนโยบายภาษี ทำให้การคาดการณ์เศรษฐกิจในระยะยาวเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความกังวลในหมู่นักลงทุนเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อการวางแผนของผู้ประกอบการทั่วโลก
ในรายงานดังกล่าว IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2025 เหลือเพียง 4.0% จาก 4.6% ที่เคยคาดไว้ในเดือนมกราคม ขณะที่อินเดียถูกปรับลดจาก 6.5% เหลือ 6.2% แม้ว่ารัฐบาลทั้งสองประเทศยังตั้งเป้าหมายสูงกว่าที่ IMF คาดก็ตาม โดยจีนตั้งเป้าไว้ที่ “ประมาณ 5%” และอินเดียที่ 6.5% ในปีงบประมาณที่เริ่มตั้งแต่เมษายน 2025
ญี่ปุ่น ซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสามของโลก ก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน โดย IMF ปรับลดการเติบโตในปี 2025 ลงจาก 1.1% เหลือเพียง 0.6% ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นยังยืนยันเป้าหมายเดิม
รายงานของ IMF ยังสอดคล้องกับการปรับลดคาดการณ์ของสถาบันอื่น ๆ เช่น โกลด์แมน แซคส์ ซึ่งลดคาดการณ์ GDP ของจีนปีนี้จาก 4.5% เหลือ 4.0%, Natixis ลดลงเหลือ 4.2% และ Fitch ลดการเติบโตของอินเดียลงเหลือ 6.2%
สำหรับกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก IMF ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของกลุ่ม ASEAN-5 (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย) ลงเหลือ 4.0% ในปี 2025 จากเดิม 4.6% และ 3.9% ในปี 2026 จากเดิม 4.5% โดยเน้นย้ำถึง “ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง” ของภูมิภาค
รายงานระบุว่า ประเทศในอาเซียนมีความเชื่อมโยงกับจีนและสหรัฐฯ อย่างลึกซึ้ง ทั้งในฐานะคู่ค้าหลักและฐานการผลิตระดับภูมิภาค ทำให้มาตรการภาษีตอบโต้ที่ออกมาทั้งสองฝ่ายส่งผลกระทบอย่างเป็นลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจของอาเซียน ทั้งในด้านการส่งออก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และความเชื่อมั่นของตลาด
โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งพึ่งพาการส่งออกถึงกว่า 70% ของ GDP ถูก IMF ปรับลดคาดการณ์การเติบโตในปี 2025 ลงเหลือเพียง 1.8% จาก 2.9% ที่เคยคาดไว้ และลดต่อเนื่องเหลือเพียง 1.6% ในปี 2026 ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย
ในขณะที่เวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค ก็ถูกปรับลดคาดการณ์ลงเช่นกัน โดยในปี 2025 คาดว่าจะเติบโตเพียง 5.2% จากเดิม 6.1% และลดลงอีกเหลือ 4.0% ในปี 2026
แม้หลายประเทศจะพยายามใช้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินเพื่อรองรับแรงกระแทก แต่รายงานของ IMF เตือนว่า ความสามารถในการใช้นโยบายเหล่านี้เริ่มลดลง โดยเฉพาะในประเทศที่มีข้อจำกัดทางการคลัง เช่น ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีภาระหนี้ภาครัฐสูงและขาดความยืดหยุ่นเชิงนโยบาย
ดังนั้น ในบริบทของสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อ ประเทศในอาเซียนจำเป็นต้องเร่งกระจายความเสี่ยงทั้งด้านตลาดส่งออกและแหล่งเงินทุน ขณะเดียวกันควรลงทุนในนวัตกรรม การยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และการเสริมสร้างศักยภาพแรงงานภายในประเทศ เพื่อรองรับแรงกระแทกจากภายนอกและเสริมความยั่งยืนในระยะยาว
นอกจากนี้ IMF ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะปรับลดคาดการณ์ GDP ของแต่ละประเทศอีกครั้งในช่วงปลายปี หากสงครามการค้าแปรสภาพเป็นสงครามค่าเงิน ซึ่งอาจยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียนให้เผชิญภาวะซบเซาหนักยิ่งขึ้น