ประเทศไทยพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวมาอย่างยาวนาน ด้วยจุดแข็งคือทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม มีความอุดมสมบูรณ์ของอาหารการกิน อร่อยถูกปาก แถมยังมีประเพณี-วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่เลื่องชื่อ และความมีน้ำใจของคนไทย สยามเมืองยิ้ม กลายมาเป็นจุดเด่นที่หลายประเทศอิจฉา
หลังโควิดผ่านพ้นไป รัฐบาลไทยได้ผลักดันและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายฟรีวีซ่า เพื่อเป็นแรงดึงดูดใจให้แก่นักท่องเที่ยว ทำให้ในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังไทยกว่า 35.54 ล้านคน สร้างเงินสะพัดกว่า 1.67 ล้านล้านบาท
แต่ในปี 2025 อาจไม่ง่ายอย่างที่หวังว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินเข้ามามากขึ้นถึง 40 ล้านคน เพราะด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจากสงครามการค้า ได้ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มชะลอลงในไตรมาส 1 ของปีนี้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว
นั่นจึงทำให้รัฐบาลพยายามผลักดันให้การท่องเที่ยวของประเทศไทย มีจุดเด่นในมิติอื่นๆ หนึ่งในนั้นคือ การยกระดับการท่องเที่ยวในรูปแบบ Human Made หรือ การท่องเที่ยวในแบบที่เราสร้างขึ้นมา ไม่ไช่แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ แต่หนึ่งในรูปแบบที่มีศักยภาพสำหรับประเทศไทย และผู้เขียนได้มีประสบการณ์ตรง นั่นก็คือ เทศกาลดนตรีระดับโลกที่จะมาจัดยังประเทศไทย โดยปีที่ผ่านมา คือ EDC (Electric Daisy Carnival) เทศกาลดนตรี EDM ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
และในวันนี้ผู้จัด EDC ยังได้ประกาศจัดงาน EDC Thailand 2026 เป็นที่เรียบร้อย บทความนี้ SPOTLIGHT จึงอยากชวนทุกคนมา ถอดบทเรียน EDC THAILAND 2025 กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเทศกาลดนตรี เมื่อเทศกาลดนตรีระดับโลกมาจัดที่ไทย แล้วเราได้อะไร ? โดยจะเป็นการรีวิวจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่ได้มีโอกาสไปร่วมงานและได้สัมภาษณ์นักท่องเที่ยวรวมถึงทีมงานผู้อยู่เบื้องหลัง
หากใครที่เป็นสายดนตรี EDM หนึ่งในเทศกาลดนตรีที่ไม่น่าพลาดในช่วงปีที่ผ่านมาคือ EDC Thailand 2025 ที่ได้จัดขึ้นในวันที่ 17-19 ม.ค.2568 ณ Boat Avenue Lakefront จ.ภูเก็ต
และแน่นอนว่าผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมงาน เพราะสำหรับคนที่รักดนตรี EDM นี่คือเทศกาลดนตรีที่เราควรไปสักครั้งในชีวิต เทียบเท่ากับสเกลของ Tomorrowland เลยก็ว่าได้ ว่าแต่การที่งานเทศกาลดนตรีระดับโลก เลือกปักหมุดมาที่ไทย แล้วประเทศเราได้อะไร ?
เป็นที่รู้กันว่าทุกครั้งที่ EDC จัดงาน จะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ตั้งแต่ธุรกิจสายลัคชูรี่ไปจนถึงรากหญ้า ไม่ว่าจะเป็น สายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร วินมอเตอร์ไซด์ ไกด์ แท็กซี่ รถเช่า ไปจนถึงร้านหมูปิ้งข้างทาง
โดยศูนย์ข่าวภูเก็ต ได้มีการรายงานว่า EDC Thailand 2025 ที่ผ่านมา สามารถทำรายได้มหาศาล (ไม่เปิดเผยตัวเลข) และดึงดูดผู้ร่วมงานใน 3 วันมากกว่า 120,000 คน
ลองคิดดูว่าผู้เข้าร่วมงานระดับหมื่น – แสนคน เดินทางมาพร้อมกัน ต้องกิน ต้องเที่ยว ต้องใช้เหมือนกันธุรกิจต่างๆจะได้ประโยชน์แค่ไหน
พนักงานนวดร้านหนึ่ง ได้เปิดเผยกับ ทีม SPOTLIGHT ว่า "ตนดีใจที่ภูเก็ตได้รับเลือกเป็นที่จัดงานเทศกาลดนตรีระดับโลกอย่าง EDC เพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก ร้านของตนถูกจองเต็มตลอด และแม้ว่าตนจะอยากไปงาน EDC แค่ไหนก็ต้องทำงานก่อน เพราะช่วงนี้เป็นช่วงกอบโกย"
ในขณะที่พนักงานโรงแรมแห่งหนึ่ง ได้เล่าให้ทาง SPOTLIGHT ฟังว่า "นับตั้งแต่ฟรีวีซ่า ก็ได้เจอกับนักท่องเที่ยวไร้คุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ไม่เคราพกฎหมาย ทำตัวเมากร่าง ทะเลาะกับแขกคนอื่นๆ ซึ่งตนก็ทำได้แต่อดทนเนื่องจากทำงานบริการ พร้อมกับเตือนผู้เขียนให้ระวังนักท่องเที่ยวบางประเทศ นอกจากนี้เธอจะได้เล่าว่า ช่วงเทศกาลดนตรี EDC ดูเหมือนว่าภูเก็ตจะได้นักท่องเที่ยวคุณภาพมากขึ้น เนื่องจากราคาบัตรที่ค่อนข้างแพง เหมือนกับเป็นการคัดเกรดนักท่องเที่ยว เช่นเดียวกันกับโรงแรมของตนก็ถูกจองเต็มจนไม่มีห้องว่างแม้เพียงห้องเดียว"
นอกจากนี้ ชาวบ้านภูเก็ตท่านหนึ่งที่ได้ทำอาชีพเป็นวินมอเตอร์ไซค์ (ชั่วคราวระหว่างงาน EDC) ได้เผยว่า "ภูเก็ตเป็นเกาะ เพราะฉะนั้นเวลาจัดงานอะไรก็เกิดรถติดได้ง่ายเนื่องจากถนนค่อนข้างแคบ แต่ส่วนตัวตนยอมไม่ว่าจะติดแค่ไหนเช่นเดียวกันกับเพื่อนของตนคนอื่นๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาทำเงิน ทำให้ตนและเพื่อนๆได้มาขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างในช่วงนี้"
นอกจากนี้แม้งานจะจัดเพียงแค่ 3 วัน แต่นักท่องเที่ยวหลายๆคนไม่ได้มาเที่ยวไทยแค่ 3 วัน พอเที่ยวงาน EDC เสร็จก็ตัดสินใจเที่ยวต่อในประเทศไทย ซึ่งธุรกิจไทยเองก็จะได้ประโยชน์ด้วย
EDC สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ ที่พร้อมจ่าย เพราะราคาแต่ละอย่างมันไม่ถูกเลย เช่น
นี่ยังไม่รวมค่าเที่ยว ค่ากินอื่นๆต้องที่ใช้จ่ายในช่วงเวลานั้นอีก ซึ่งหากถ้าคิดรวมๆแล้วราคาขนาดนี้สามารถไปเที่ยวต่างประเทศได้สบายเลย
ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียน ที่เคยอยู่ที่ซิดนีย์ และได้ตัดสินใจเดินไปทางไปยังเมลเบิร์นเพื่อไปงานเทศกาลดนตรี Ultra Australia Melbourne 2020 เมื่อประเมินค่าใช้จ่าย ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่ากินอื่นๆ พบว่าการเดินทางจากซิดนีย์ไปยังเมลเบิร์น นั้นมีราคาถูกกว่าการเดินทางจากกรุงเทพไปยังภูเก็ตเสียอีก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ ระบบขนส่งสาธารณะของเมลเบิร์นที่ฟรี เดินทางง่าย แต่ในขณะที่ภูเก็ตนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวที่งานต้องมีการเช่ารถตู้ล่วงหน้าไว้ก่อน ส่วนการเรียกรถอย่าง Grab ก็พบว่าไรเดอร์มีการปฎิเสธงานค่อนข้างมาก เนื่องจากกังวลเรื่องรถติด
นักท่องเที่ยวจากออสเตรเลียคนหนึ่ง ได้เปิดเผยกับทีม SPOTLIGHT ว่า "ครั้งนี้คือการมาภูเก็ต ประเทศไทยเป็นครั้งแรก สาเหตุที่ตนตัดสินใจมาเนื่องจากชื่นชอบดนตรี EDM และการที่ EDC ประกาศจัดงานที่ไทยยิ่งทำให้ตนรู้สึกว่าต้องมาให้ได้ ทั้งได้เจอศิลปินที่ตนชอบ และยังได้ท่องเที่ยวที่ไทยต่อ นอกจากนี้ตนมีแพลนจะไปเรียนมวยไทยเพิ่มเติมหลังจบงานคอนเสิร์ตอีกด้วย"
สำหรับงานสเกลระดับโลกอย่าง Tomorrow Land หรือว่า EDC สำหรับศิลปิน DJ ไทย มีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับเลือกขึ้นไปแสดงบนเวที แต่ในวันที่ EDC เลือกมาจัดที่ประเทศไทย แน่นอนว่า นอกเหนือจาก DJ ระดับ Headliner จะมาแสดง นี่คือโอกาสของ DJ ไทยที่โอกาสในการเฉิดฉายในเวทีระดับโลก
อย่างเช่น คุณเอ้ BOTCASH ที่เรารู้จักกันจากการทำเพลงอิเลคโทรนิค จากเสียงอะไรก็ได้บน TikTok ได้มีโอกาสขึ้นแสดงบนเวที Kinetic FIELD เวทีหลักที่ใหญ่ที่สุดของงานในช่วงเย็น ได้พูดบนเวทีว่า “ตนรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมากที่ได้มีโอกาสขึ้นแสดงบนเวที EDC ที่เป็นเวทีระดับโลก ตนอยู่ในวงการนี่มามากกว่า 10 ปี นี่คือครั้งแรกที่ได้แสดงบนเวทีที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต”
แน่นอนว่างานสเกลระดับโลกทีมงานส่วนใหญ่ที่มาทำงานคือทีมจากสหรัฐอเมริกาซึ่งมาเป็นหลักพันคน แต่รู้หรือไม่ว่าทีม Backstage ก็ยังมีคนไทยในระดับร้อยคน ที่ทำงานร่วมกับทีมสหรัฐอเมริกา
โดย SPOTLIGHT ได้มีโอกาสพูดคุยกับหนึ่งทีม Backstage ชาวไทย ที่ได้อยู่เบื้องหลังจากสร้างเวทีของ EDC ได้เล่าว่า "บริษัทของตนได้มีโอกาสเรียนรู้การทำงานจากทีมสหรัฐอเมริกา ได้เห็นว่างานสเกลระดับโลกต้องทำอย่างไร ได้เห็นว่าคนที่เป็น professional เขาทำงานกันอย่างไร แม้เราจะไม่ได้เริ่มตั้งแต่แรก แค่มาช่วยองค์ประกอบตอนนั้น แต่การทำงานในช่วงนั้นคือช่วงเวลาแห่งความประทับใจที่สุดของตนและทีมงาน"
การดึง EDC มายังประเทศไทย เหมือนกับการคัดกรองนักท่องเที่ยวคอดนตรีคุณภาพที่พร้อมจ่าย และในขณะเดียวกันคือการสร้าง destination ใหม่ๆให้แก่ประเทศ อย่างหากคุณเป็นนักท่องเที่ยวคอดนตรีสาย HipHop ก็ต้องไปงาน Rolling Loud Thailand ที่จัดที่พัทยา หรือหากคุณเป็นนักท่องเที่ยวคอดนตรีสาย EDM ก็ต้องไปงาน EDC ที่จัดที่ภูเก็ต
เช่นเดียวกันกับเหล่าศิลปินและ DJ ที่ได้ขึ้นแสดงในประเทศไทย หลายๆคนถือโอกาสพาครอบครัวมาเที่ยวด้วย และได้โพสต์ภาพลงใน Instagram ส่วนตัว อย่างเช่น แฟนสาวของ illenium ได้มาท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมกับได้โพสต์ภาพความประทับใจระหว่างการท่องเที่ยวพร้อมกับแคปชั่นว่า “Missing mango sticky rice & my edc coconut”
EDC (Electric Daisy Carnival) คือ เทศกาลดนตรี EDM ขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกา เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1997 หรือเมื่อ 28 ปีที่แล้ว (นับตอน Insomniac เข้ามา) ซึ่งในแต่ละปีสามารถดึงดูดผู้เข้าร่วมงานได้เกิน 600,000 คนในระยะเวลา 3 วันที่จัดงาน สร้างเงินสะพัด กระตุ้นเศรษฐกิจเป็นวงกว้างต่อการท่องเที่ยว จนปัจจุบันได้ขยายฐานเทศกาลระดับนานาชาติไปยัง 9 ประเทศใน 4 ทวีปทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา, สหรัฐราชอาณาจักร (จัดครั้งล่าสุดปี 2021),บราซิล (จัดครั้งล่าสุดปี 2018), ปวยร์โตรี (จัดครั้งล่าสุดปี 2015) ,เม็กซิโก, สาธารณรัฐประชาชนจีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และล่าสุดคือ ประเทศไทย
ส่วนคำถามที่ว่าทำไม EDC ถึงกลายเป็นเทศกาลดนตรีที่สาย EDM ต้องไปสักครั้งในชีวิต สำหรับผู้เขียนหากเปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับคุณโตมากับการดูการ์ตูนดิสนีย์ตอนเด็กๆแล้วมีความใฝ่ฝันอยากจะไปดิสนีย์แลนด์สักครั้งในชีวิต งาน EDC ก็เหมือนกันหากคุณชอบดนตรีแนว EDM นี่จะเป็นงานสเกลยักษ์ที่ DJ ระดับโลกที่คุณฟังเพลงอยู่ทุกวัน จะมาแสดงในงานแห่งนี้ และมันไม่ใช่แค่ 2-3 คน แต่มันคือหลักร้อยศิลปิน
ภายในงาน EDC ทุกอย่างจะถูกเนรมิตเหมือนเป็นเมืองอีกหนึ่งเมือง ที่มีทั้ง performers, เครื่องเล่นสวนสนุก, เกม รวมถึงกิจกรรมอื่นๆมากมายภายในงาน เหมือนคุณหลุดไปในโลกของ EDM ส่วนเวทีไม่ต้องพูดถึง เพราะเขามีถึง 5 เวทีด้วยกัน
พออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนน่าจะพอเห็นภาพความยิ่งใหญ่และความสนุกสนานภายในงาน นี้ยังไม่รวมกับการที่คุณจะได้ไปเจอ community หรือ กลุ่มคนที่มีความชื่นชอบเดียวกันกับคุณอีก ทำให้หลายๆคนเมื่อไปเที่ยว EDC มา มักจะต้องเจอกับอาการ Post-festival blue หรือ ความรู้สึกเศร้าหลังจากจบงานคอนเสิร์ต (เพราะไม่อยากให้จบลง)
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด EDC ได้ประกาศจัดงาน EDC Thailand 2026 เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจะจัดในวันที่ 16 – 18 ม.ค. 2569 ที่ RHYTHM PARK จังหวัดภูเก็ต โดยราคาบัตรรอบแรกที่เปิดขายอยู่ที่ 6,590 -10,590 บาท (ซึ่งราคาแพงกว่าปี 2025 เกือบ2,000 บาท) และ เตรียมเปิดตัว Hotel EDC ที่ Angsana Laguna Phuket ซึ่งจะเป็น รีสอร์ตธีม EDC ที่จะกลายเป็นศูนย์รวมของเหล่า Headliner ทำให้เราต้องมาจับตาดูกันว่า EDC Thailand 2026 จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวคอดนตรีได้แค่ไหน และสร้างเงินสะพัดให้แก่ไทยเท่าไร