ไตรมาสแรกที่ผ่านมามีสองสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้อย่างดีและยังสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้สำเร็จนั่นคือบิตคอยน์และทองคำ นักลงทุนอาจมองว่าสองสินทรัพย์นี้มีความเหมือนกันถึงขั้นเรียกบิทคอยน์ว่า Digital Gold แต่ในความเป็นจริงสองสิ่งนี้มีทั้งความเหมือนและแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าใครมองจุดเด่นในด้านใด
ความเหมือนและแตกต่างระหว่าง ทองคำ กับ บิตคอยน์
มาดูกันที่ความเหมือนก่อน สองสินทรัพย์นี้มีจุดเด่นเดียวกันคือความหายาก (Scarcity)โดยทองคำจะต้องลงทุนขุดเหมืองลงไปใต้ดินเพื่อให้ได้มา ส่วนบิทคอยน์ถ้าหากไม่ไปซื้อในกระดานเทรดก็จะต้องลงทุนกับเครื่องขุดซึ่งต้องมีต้นทุนเรื่องของไฟฟ้าและค่าจัดการต่างๆ ความที่เป็นเจ้าของได้ยากนี้ทำให้สองสินทรัพย์มีคุณค่าในตัวเอง
รวมถึงการที่เป็นสินทรัพย์ที่มีจำนวนจำกัด โดยทองคำทั้งหมดที่มีอยู่บนโลกปัจจุบันไม่นับส่วนที่ยังขุดหาไม่เจอมีจำนวนเพียงสัดส่วนน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับปริมาณเงินทั้งหมดในโลก แต่ด้วยคุณสมบัติของการเป็นสิ่งหายากทำให้ตลาดให้คุณค่าและมูลค่ากับทองคำจนเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดอันดับหนึ่งของโลกที่ 15 ล้านล้านดอลลาร์
ขณะที่บิทคอยน์ถูกกำหนดชัดเจนว่ามีจำนวนเพียง 21 ล้าน BTC และไม่สามารถที่จะผลิตเพิ่มได้อีกและยังมีกลไกที่ทำให้ซัพพลายใหม่ที่ออกมาจากการขุดลดลงไปทีละครึ่งหรือที่เรียกว่า Halving ยิ่งทำให้เพิ่มคุณค่าในความเป็นสินทรัพย์หายากเข้าไปอีก ทำให้มีนักลงทุนบางส่วนที่ให้มูลค่ากับบิทคอยน์จนมีมูลค่าตลาดประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ในปัจจุบัน
สิ่งที่บิทคอยน์ต่างจากทองคำในประเด็นนี้คือมีจำนวนที่จำกัดชัดเจนที่ 21 ล้าน BTC ซึ่งได้รับการพิสูจน์มากว่าสิบปีแล้วว่ากลไกการจำกัดซัพพลายของบิทคอยน์เป็นความจริงทำให้บิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่มีคุณสมบัติเทียบเคียงกับเงินเพียงแค่สินทรัพย์เดียวที่มีซัพพลายจำกัดชัดเจน เพราะทองคำอาจจะยังมีอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้ขุดขึ้น ส่วนเงิน Fiat Currency อย่างสกุลเงินดอลลาร์ที่เป็น Backed Asset ให้กับเกือบทุกสกุลเงินของโลกสามารถผลิตขึ้นมาได้อย่างไม่จำกัด
ทองคำ ยังถูกจัดให้เป็นสินทรัพย์ที่สามารถเก็บความมั่งคั่ง (Store Of Wealth) มากกว่าที่จะใช้แทนเงิน เช่นเดียวกับบิทคอยน์ เพราะถ้านับผลตอบแทนในระยะยาว สองสินทรัพย์นี้ยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกหรือทำให้ความมั่งคั่งของผู้ถือเพิ่มขึ้นแม้จะมีบางช่วงเวลาที่ราคาเป็นขาลง แต่ถ้ามองในภาพกว้างผู้ที่ถือสองสินทรัพย์นี้มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นทั้งหมด
ขณะที่คุณค่าความเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยหรือ Safe Haven ทองคำจะมีปฎิกิริยาที่ตอบสนองกับความไม่สงบทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างเช่นสงคราม ขณะที่บิทคอยน์จะตอบสนองกับความไม่มั่นคงของระบบการเงินมากกว่า อย่างเช่นที้เกิดขึ้นกับการล่มสลายของธนาคารเฉพาะกิจในสหรัฐฯ บิทคอยน์ก็มีการปรับตัวขึ้น
ด้านความเป็นเจ้าของทองคำแม้ว่าจะไม่มีใครที่เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง แต่การควบคุมอยู่ภายใต้ระบบการเงินดั้งเดิมที่มีมหาอำนาจเป็นผู้ควบคุม แต่บิทคอยน์อยู่บนระบบการกระจายอำนาจ (Decentralized) ที่ผู้เป็นเจ้าของถูกกระจายตัวออกผ่านเหมืองขุดซึ่งทำหน้าที่เป็น Node Validator จึงมีความเป็นอิสระในตัวเอง
ส่วนการนำไปใช้แทนเงิน ทองคำไม่ได้รับความนิยมมากนักเพราะติดเรื่องของการขนส่ง สภาพคล่องของการใช้เป็นเงินเนื่องจากหน่วยเล็กที่สุดของทองคำแม้จะอยู่ที่ 1 สลึงก็ยังไม่สะดวกในการไปใช้ซื้อของที่มีมูลค่าเล็กหลักร้อยบาทได้ ทองคำจึงมักถูกนำไปใช้เป็นสินทรัพย์ในการวางค้ำเพื่อสร้างสกุลเงินมากกว่า โดยธนาคารกลางเกือบทุกชาติในโลกนี้ต่างถือทองคำเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรอง
ขณะที่บิทคอยน์มีความสะดวกในการใช้แทนเงินได้มากกว่าทองคำ เพราะสามารถโอนหรือส่งต่อได้ด้วยช่องทางอีเล็กทรอนิกส์และอินเทอร์เนต อีกทั้งหน่วยย่อยที่สุดของบิทคอยน์ที่เรียกว่า Satoshi ยังสะดวกในการนำไปใช้จ่ายแทนเงินได้มากกว่าทองคำเพระามีขนาดเล็กกว่า รวมถึงยังมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า Lightning Network ที่สามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วและค่าธรรมเนียมถูกลง
สิ่งที่บิทคอยน์ยังไม่เหมือนทองคำคือยังไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่นำไปค้ำประกันเพื่อสร้างสกุลเงิน Fiat แต่ในอนาคตถ้าหากบิทคอยน์ได้รับการยอมรับมากขึ้นก็มีโอกาสเช่นกัน
ปัจจุบันนี้บิทคอยน์ยังมีมูลค่าตลาดตามหลังทองคำอยู่กว่าสิบเท่า แต่อนาคตที่โลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล บิทคอยน์ที่มีคุณสมบัติคล้ายทองคำแต่มีจุดเด่นเหนือกว่าคือการใช้งานในยุคดิจิทัลอาจะมีมูลค่าขึ้นมาเทียบเคียงก็เป็นไปได้เช่นกัน
ส่วนใครจะเลือกลงทุนระหว่างบิทคอยน์และทองคำ สิ่งหนึ่งที่ได้เหมือนกันคือการกักเก็บความมั่งคั่งในระยะยาว แต่ถ้าต้องการตอบโจทย์ยุคดิจิทัล บิทคอยน์น่าจะเป็นคำตอบ
