ธุรกิจการตลาด

Samsung ชวนพนักงานใช้ ChatGPT แต่เผลอทำ 'ข้อมูลสำคัญ' หลุด

7 เม.ย. 66
Samsung ชวนพนักงานใช้ ChatGPT แต่เผลอทำ 'ข้อมูลสำคัญ' หลุด

Samsung บริษัทอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สัญชาติเกาหลีใต้ ได้บทเรียนครั้งใหญ่จากการกระตุ้นให้พนักงานในแผนกเซมิคอนดักเตอร์ใช้ ‘ChatGPT’ เพื่อช่วยแก้ปัญหาในการเขียนโค้ด แต่ไม่ทันไร พนักงานบริษัทก็เผลอป้อนข้อมูลสำคัญอันเป็นความลับของบริษัทให้แชทบอท AI ตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นโค้ดของโปรแกรมตัวใหม่ของบริษัท บันทึกการประชุมภายใน รวมไปถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ของ Samsung ด้วย

 

ChatGPT

 

หลังชักชวนให้พนักงานใช้แชทบอท AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ไม่ถึง 3 อาทิตย์ดี ข้อมูลสำคัญของ Samsung บางส่วนก็ตกอยู่ในมือของ OpenAI เสียแล้ว เพราะข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าไป จะถูกบันทึกไว้เพื่อกลายเป็นคลังข้อมูลให้ ChatGPT เรียนรู้

สำหรับ 3 เหตุการณ์ข้อมูลรั่วที่เกิดขึ้นนั้น เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นจากการที่หนึ่งในพนักงานของ Samsung ได้ป้อนข้อมูลให้กับ ChatGPT เพื่อขอให้ในระบบการตรวจสอบข้อผิดพลาดในชิป ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญ และเป็นความลับของบริษัท อันจะช่วยประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนของบริษัทได้อย่างมหาศาลจากการลดสารพัดขั้นตอนการตรวจสอบประสิทธิภาพที่จะตามมา

หรือในอีกเหตุการณ์นั้น เป็นการที่พนักงานได้ป้อนข้อมูลการประชุมภายในให้ ChatGPT เพื่อสร้างเป็นสไลด์การประชุม ซึ่งแน่นอนว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นความลับที่ไม่ควรตกไปอยู่ในมือของคนนอก

 

Samsung

 

Samsung รับมือเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างไร?

 

หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นนั้น Samsung ได้ส่งคำเตือนไปยังพนักงานที่เกี่ยวข้องถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเผยข้อมูลของบริษัท นอกจากนั้น Samsung ยังได้แก้เกมโดยการสร้าง แชทบอท AI ขึ้นมาใช้เองภายใน ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่ามีความสามารถแค่ไหนเมื่อเทียบกับ ChatGPT

อย่างไรก็ดี ในเงื่อนไขการใช้งานของ ChatGPT ก็ได้ระบุคำเตือนแล้วว่า ผู้ใช้ไม่ควรใส่ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือเป็นความลับลงไป และบริษัทนั้นจะใช้ข้อมูลต่างๆ ที่ป้อนลงไปเพื่อพัฒนาระบบ AI ให้เก่งยิ่งขึ้นเว้นเสียงแต่ว่าผู้ใช้จะเลือกเงื่อนไข ‘ไม่แชร์ข้อมูล’ ที่ป้อนเข้าไปให้กับบริษัท

 

ในโลกยุคใหม่ ที่ “ข้อมูลคือทรัพย์สินอันล้ำค่า” ตัวอย่างนี้คงเป็นอุทาหรณ์ให้เราระมัดระวังในการให้ข้อมูลอันสำคัญกับบุคคลที่ 3 เพราะสำหรับบางคน หรือบางองค์กรแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นอาจมีมูลค่าหลักแสนหลักล้าน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหรือชีวิตเลยก็เป็นได้

 

ที่มา : TechTimes, Mashable

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT