ธุรกิจการตลาด

เดลต้าเตรียมแตกพาร์เหลือ 0.1 บาท/หุ้น จากเดิม 1 บาท/หุ้น

16 ก.พ. 66
เดลต้าเตรียมแตกพาร์เหลือ 0.1 บาท/หุ้น จากเดิม 1 บาท/หุ้น

ชื่อ เดลต้า ไม่ใช่เชื้อไวรัสโควิด แต่เป็นบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ DELTA ที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมออกแบบ การผลิตและให้บริการธุรกิจโซลูชั่นสำหรับการจัดการพลังงานและการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเป็นศูนย์กลางการผลิตของประเทศอินเดีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

เป็นหุ้นที่ฮอต!! มากตั้งแต่ปลายปี จนถึงปัจจุบัน จากการปรับขึ้นของราคาหุ้นเดลต้า ที่ถือว่าแพงที่สุดในตลาดหุ้นไทย และได้นำเข้าคำนวณใน SET50 แล้ว ตามมาด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งราคาก็ยังพุ่งอย่างต่อเนื่อง จนได้มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยการซื้อขายหุ้น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (DELTA) จากเดิมหน่วยละ 100 หุ้น เป็น 50 หุ้น จากการที่ราคาหุ้น DELTA มีราคาหลักทรัพย์ปิดตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป เป็นระยะเวลา 6 เดือนติดต่อกัน

ล่าสุด บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ DELTA ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อ 15 ก.พ.2566 ว่า คณะกรรมการได้มีมตินำเสนอการพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) จากเดิมที่ 1 บาท/หุ้น เป็น 0.1 บาท/หุ้น 

delta-fb

โดยการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบต่อทุนจดทะเบียน ทุนชําระแล้วทและสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่อย่างใดเป็นเพียงจะทําให้บริษัทมีจํานวนหุ้นสามัญของบริษัทเพิ่มขึ้น ดังนี้

screenshot2023-02-16131432

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงราคาพาร์จากเดิม 1 บาท/หุ้น เป็น 0.1 บาท/หุ้น จะมีผลภายหลังจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 พิจารณาอนุมัติ โดยวันที่มีผลในระบบซื้อขายจะเป็นไปตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนด

โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 7 เม.ย.2566 โดยเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM)

นอกจากนี้ คณะกรรมการยังมีมติต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2565 ในอัตราที่ 4.00 บาท/หุ้น ซึ่งในวันที่ 28 ก.พ. 2566 จะขึ้นเครื่องหมาย XD และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผลในวันที่ 1 มี.ค. 2566 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เม.ย. 2566 

สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2565 มีกำไรสุทธิ 15,344.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129% จากปีก่อน และมีรายได้รวม 119,501.16 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายปี 2565 จำนวน 118,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.6% จากปีก่อน ผลมาจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ (Cloud Storage) และระบบศูนย์ข้อมูล (Data Center) รวมถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Solution) และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิความร้อนในยานยนต์ทั่วไป (Automative Thermal Solution) อีกด้วย

ในปี 2565 ยอดขายในตลาดเอเซียมีสัดส่วนลดลง มาอยู่ที่ 34% จากปีกอ่นที่มีสัดส่วน อยู่ที่ 38% แต่สัดส่วนยอดขายในอเมริกาเหนือ เพิ่มสูงขึ้นเป็น 37% จาก 35% ปีก่อน และยุโรปเพิ่มสูงขึ้นเป็น 28% จาก 26% ปีก่อน

 

ที่มา : SET Set Invest Now

 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT