ธุรกิจการตลาด

การแบน TikTok ของสหรัฐฯ อาจสร้างความแตกแยกทางดิจิทัลทั่วโลก

2 พ.ค. 67
การแบน TikTok ของสหรัฐฯ อาจสร้างความแตกแยกทางดิจิทัลทั่วโลก

TikTok กำลังเผชิญกับวิกฤติที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา หาก ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ไม่ยอมขายกิจการภายในปีหน้า ก็อาจถูกแบนในตลาดที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งความเสียหายในครั้งนี้ ไม่ได้เพียงแต่จะสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ต่อความทะเยอทะยานทางเทคโนโลยีของจีนเท่านั้น

แต่ยังจะทำให้เกิดการแบ่งแยกของโลกดิจิทัลสองโลกของมหาอำนาจทั้งสอง และผลกระทบก็คือ การต่อสู้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะรุนแรงมากขึ้น และบานปลายไปในหลายอุตสาหกรรม

สรุปเหตุการณ์ที่ทำให้สหรัฐฯ ออกกฎหมายแบน TikTok

เหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มต้นจากคณะกรรมการพลังงานและพาณิชย์ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้อนุมัติร่างกฎหมายแบน TikTok บนทุกแพลตฟรอ์มในสหรัฐฯ จากความกังวลว่า รัฐบาลจีนอาจใช้กฎหมายด้านข่าวกรองบังคับให้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ส่งข้อมูลของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ให้ทางการจีน ซึ่งอาจถูกนำไปใช้ค้นหาเป้าหมายเพื่อจารกรรมข้อมูล หรือเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อหรือปล่อยข่าวปลอม

ทั้งนึ้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามรองรับร่างกฎหมายแบน TikTok อย่างเป็นทางการ ทำให้ TikTok มีเวลา 270 วันหรือราว 9 เดือน เพื่อหานักลงทุนชาวสหรัฐฯ ให้มาซื้อกิจการ และให้ไบเดนใช้ดุลยพินิจในการขยายเวลาออกไปอีก 3 เดือน หากมีความคืบหน้าในข้อตกลง ซึ่งหาก ByteDance ไม่ยอมขายกิจการให้สหรัฐฯ App Store และ Google Play รวมถึง บริษัทโฮสติ้งอินเทอร์เน็ตในสหรัฐฯ จะถูกห้ามไม่ให้เปิดใช้งานแอป TikTok บนแพลตฟอร์มของพวกเขา

จนถึงขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่เคยเปิดเผยหลักฐานใดๆ ว่า จีนเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งาน TikTok อย่างไร โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์บอกว่า มันเป็นแค่ ‘ความเป็นไปได้’ แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่น่ากังวลมากเช่นกัน เนื่องจากสหรัฐฯ มีผู้ใช้งาน TikTok สูงถึง 170 ล้านคน และจากรายงาน TikTok Economic Impact Report 2024 เผยว่า มีการใช้งานของกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง (SMBs) บน TikTok จำนวน 1,050 ราย

ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่า TikTok เป็นเครื่องมือสอดแนมของจีน

ผลสำรวจจาก Reuters/Ipsos ที่ถามความคิดเห็นของผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 1,022 คนทั่วประเทศ พบว่า ชาวอเมริกัน 58% เชื่อว่า รัฐบาลจีนใช้แอปโซเชียลมีเดีย TikTok เพื่อชักจูงและบิดเบือนความคิดเห็นสาธารณชนของชาวอเมริกัน ในทางกลับกัน ชาวอเมริกันจำนวน 13% ไม่เห็นด้วย และไม่คิดว่า TikTok กำลังถูกใช้เพื่อควบคุมความคิดเห็นของประชาชน ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่เหลืออีก 29% ไม่แน่ใจหรือปฏิเสธที่จะตอบ

ส่วนประเด็นของการแบน TikTok ของรัฐสภาสหรัฐฯ ชาวอเมริกัน 50% สนับสนุนการแบน TikTok ในขณะที่ 32% ไม่เห็นด้วยกับการแบน และผู้ตอบแบบสอบถามที่เหลืออีก 18% ไม่แน่ใจ และไม่เพียงเท่านี้ 46% เห็นด้วยว่าจีนใช้แอปนี้เพื่อสอดแนมสหรัฐฯ ในทุกๆ วัน โดยแบบสำรวจนี้สำรวจเฉพาะผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เท่านั้น และไม่ได้สะท้อนความคิดเห็นของผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญของผู้ใช้ TikTok ในสหรัฐอเมริกา

ก่อนหน้านี้  TikTok เคยกล่าวว่า บริษัทได้ใช้เงินไปแล้วมากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในความพยายามรักษาความปลอดภัยข้อมูล และจะไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้ใช้ 170 ล้านคนในสหรัฐฯ กับรัฐบาลจีน และบริษัทบอกกับสภาคองเกรสเมื่อปีที่แล้วว่า ไม่มีการส่งเสริมหรือลบเนื้อหาตามคำขอของรัฐบาลจีนแน่นอน

จีนยืนยัน ‘ไม่ขายกิจการ’ แน่นอน

ถึงแม้ร่างกฎหมายนี้ถูกรองรับอย่างเป็นทางการ แต่จีนออกมาต่อต้านการบังคับขายกิจการ TikTok อย่างรุนแรง และได้แก้ไขกฎหมายการควบคุมการส่งออก เพื่อให้อำนาจในการสกัดกั้นการขาย TikTok ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ทำให้ ByteDance มีทางเลือกไม่มากในการรักษาอนาคตของ TikTok ในสหรัฐฯ

Alex Capri นักวิจัยจาก Hinrich Foundation กล่าวว่า การบังคับขาย TikTok ในสหรัฐฯ ถือเป็นการลดระดับแอป เนื่องจากรัฐบาลจีนไม่อนุมัติการขายอัลกอริธึมของมัน หาก TikTok ถูกบังคับให้หยุดดำเนินการในสหรัฐฯ จริง แนวโน้มของการถูกตรวจสอบในประเทศประชาธิปไตยเสรีนิยมอื่นๆ จะมีแนวโน้มที่เพื่มขึ้น

สำหรับการขายกิจการในครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหนึ่งสิ่งที่ TikTok จะเสียไป ก็คือ ‘อัลกอริธึม’ ที่เป็นพื้นฐานสำหรับความนิยมของแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งหากรัฐบาลจีนไม่ยอมให้ ByteDance ละทิ้งอัลกอริทึมของ TikTok ก็อาจขัดขวางการขายได้ทันที หรืออาจอนุญาตให้ TikTok ขายได้โดยไม่มีอัลกอริทึม ซึ่งก็อาจทำให้ TikTok ในสหรัฐฯ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผลกระทบของการแบน TikTok ในสหรัฐฯ หรือ TikTok เวอร์ชันที่ไม่มีอัลกอริธึมเดิม ถือเป็นโชคลาภสำหรับแพลตฟอร์มคู่แข่งทั้ง YouTube, Google, Instagram เพราะจะได้ผู้ใช้งาน TikTok เพิ่มเข้ามาจำนวนมาก และอาจส่งผลกลายเป็นศึกครั้งใหญ่ ต่อความทะเยอทะยานระดับโลกของ ByteDance

Richard Windsor นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเทคโนโลยี กล่าวว่า การแบน TikTok จะเป็นจุดสิ้นสุดของการขยายตัวทั่วโลกของ ByteDance เนื่องจากมันจะเป็นสัญญาณว่ารัฐจีนให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอัลกอริทึมมากกว่าความมั่งคั่งทางการเงินของ ByteDance และการขยายตัวไปทั่วโลก ผลกระทบก็คือการต่อสู้ทางอุดมการณ์ที่กำลังต่อสู้กันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะรุนแรงมากขึ้น

Capri เสริมว่า การแบน TikTok ในสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโลก เพราะมันไม่ใช่แค่การมุ่งสู่เศรษฐกิจแพลตฟอร์มที่แยกระหว่างแอปจีนและแอปตะวันตกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการแบ่งแยกภูมิทัศน์เทคโนโลยีทั่วโลกในวงกว้าง ตั้งแต่ใครเป็นเจ้าของและดำเนินการศูนย์ข้อมูล ไปจนถึงดาวเทียมอินเทอร์เน็ตในอวกาศ สายเคเบิลใต้ทะเล และแน่นอนว่าเซมิคอนดักเตอร์

อย่างไรก็ตาม การแบน TikTok ของสหรัฐฯ จะจุดประกายความพยายามครั้งใหม่ของจีน ที่จะเผยแพร่ร่องรอยแห่งโลกดิจิทัล (digital footprint) ของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตลาดที่กำลังพัฒนาส่วนใหญ่อื่นๆ ทั่วโลก

จะมีการตอบโต้จากจีนหรือไม่?

กระทรวงพาณิชย์ของจีนให้คำมั่นที่จะใช้ ‘มาตรการที่จำเป็น’ ทั้งหมดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างกฎหมาย TikTok ฉบับก่อนหน้านี้ ซึ่ง Wang Wenbin โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวกับ CNN ว่า ตนได้ระบุจุดยืนอย่างชัดเจน และวันนี้ตนไม่มีอะไรจะเพิ่มเติม

ปัจจุบัน แอปโซเชียลเน็ตเวิร์กของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ถูกระงับในประเทศจีนแล้ว ทั้ง Google, YouTube, X, Instagram, WhatsApp, และ Facebook เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธที่ จะปฏิบัติตามกฎของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลและประเภทของเนื้อหาที่แชร์

Paul Triolo จาก Albright Stonebridge Group ไม่คาดหวังว่า ปักกิ่งจะตอบโต้ ‘อย่างรุนแรง’ ต่อการแบน TikTok ของสหรัฐฯ โดยความกังวลหลักของจีนก็คือ การโอนย้ายเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว จีนให้ความสำคัญกับบริษัทโซเชียลมีเดียน้อยกว่าการควบคุมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ มาก ซึ่งจีนมีแนวโน้มที่จะตอบโต้อย่างรุนแรงต่อการควบคุมการส่งออกใหม่ของสหรัฐฯ และไม่น่าจะตอบสนองต่อความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะแบน Tiktok US หากเกิดขึ้นในที่สุด

ก่อนหน้านี้ จีนออกมาตรการที่สั่งให้ Apple ลบแอปพลิเคชั่น WhatsApp, Signal, และ Telegram ออกจาก App Store ในจีน แต่ไม่ได้ตามมาด้วยการปราบปรามครั้งใหญ่บนเครือข่ายส่วนตัวเสมือน ซึ่งชาวจีนที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก ใช้เพื่อสื่อสารกับเพื่อนๆ ในต่างประเทศผ่านแอพส่งข้อความเหล่านี้ ซึ่ง Triolo มองว่าจีนจะยังคงปิดกั้นการเข้าถึงบางแอปที่ถือว่าเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติต่อไป แม้ว่าแอปที่ถูกบล็อกจะมีผู้ใช้ในจีนน้อยกว่าผู้ใช้ TikTok ในสหรัฐฯ ถึง 170 ล้านคนก็ตาม

ย้อนไปดูในวันที่ ‘อินเดีย’ สั่งแบน TikTok

สหรัฐอเมริกาไม่ใช่ประเทศแรกในโลกที่แบน TikTok เพราะประเทศอื่นๆ แบน TikTok มาสักพักแล้ว เช่น ‘อินเดีย’ ในเดือนมิถุนายน ที่สั่งแบนอย่างกะทันหัน ควบคู่ไปกับแอปจีนอื่นๆ หลายสิบแอป หลังจากการปะทะทางทหารตามแนวชายแดนอินเดีย-จีน มีทหารอินเดีย 20 นายและทหารจีน 4 นายถูกสังหาร และความสัมพันธ์ระหว่างยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียทั้งสองก็ดิ่งลงถึงระดับต่ำสุดใหม่

รัฐบาลอ้างถึงข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัว และกล่าวว่าแอปจีนก่อให้เกิดภัยคุกคามต่ออธิปไตยและความปลอดภัยของอินเดีย ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในอินเดีย ผู้ประท้วงเรียกร้องให้คว่ำบาตรสินค้าจีน นับตั้งแต่การเผชิญหน้านองเลือดในพื้นที่ชายแดนภูเขาคาราโครัมอันห่างไกล

ในเวลานั้น อินเดียมีผู้ใช้งาน TikTok ประมาณ 200 ล้านคน และบริษัทยังจ้างคนอินเดียหลายพันคนด้วย อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ TikTok ถูกแบน มันก็เปิดโอกาสมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับแพลตฟรอ์มทั้งหลายในตลาก

โดยภายในไม่กี่เดือนหลังจากการแบน Google ได้เปิดตัว YouTube Shorts และ Instagram ได้เปิดตัวฟีเจอร์ Reels ซึ่งทั้งสองเลียนแบบฟีเจอร์วิดีโอคลิปสั้นที่ TikTok ทำไปอย่างประสบความสำเร็จ และแย่งชิงตลาดผู้ใช้งานที่ TikTok เคยทำไว้ด้วย ซึ่งปัจจุบัน Reels อ้างว่ามีผู้ชมมากกว่า 300 ล้านคนในอินเดีย ในขณะที่ YouTube ยืนยันว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวอินเดีย 4 ใน 5 คนรับชม Shorts

แต่สถานการณ์ในสหรัฐฯ ต่างจากอินเดีย โดย Nikhil Pahwa ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายดิจิทัล กล่าวว่า การแบน TikTok ในอินเดีย ไม่ต้องไปถึงชั้นศาล แต่สำหรับสหรัฐอเมริกา ยังมีบทบัญญัติเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฉบับที่ 1 ที่ค่อนข้างเข้มแข็ง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสหรัฐฯ ที่จะสามารถแบน TikTok ได้ง่ายเหมือนอินเดีย

เพียงไม่กี่เดือนก่อนการแบน TikTok อินเดียได้จำกัดการลงทุนจากบริษัทจีนด้วย และ TikTok ไม่ใช่แพลตฟอร์มแรกและแพลตฟอร์มเดียวของจีนที่โดนแบน เพราะในเวลานั้น รัฐบาลยังได้แบนมากถึง 58 แอปพร้อมกัน และในปัจจุบันอินเดียได้แบนแอปจีนไปแล้วมากกว่า 500 รายการ

สิ่งที่จะเกิดขึ้นหาก TikTok ยอมขายกิจการให้สหรัฐฯ

หากการขายกิจการของ TikTok เกิดขึ้น อาจเป็นกระบวนการที่ท้าทายและยุ่งเหยิงสำหรับ TikTok โดยคาดว่า มูลค่าธุรกิจของ TikTok ในสหรัฐฯ จะสูงพอที่จะจำกัดกลุ่มนักลงทุนและบริษัทต่างๆ ที่สามารถจ่ายได้อย่างรุนแรง แต่ก็มีนักลงทุนบางราย รวมถึงอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง Steve Mnuchin ได้วางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้ซื้อ TikTok เวอร์ชันสหรัฐฯ แล้ว

นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอัลกอริธึมของ TikTok ซึ่งเป็นกลยุทธ์ลับที่ป้อนวิดีโอสั้นให้กับผู้ใช้ตามความสนใจของพวกเขา และมีส่วนทำให้แพลตฟอร์มมีสถานะเป็นผู้นำทางวัฒนธรรม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า ทางการจีนจะขัดขวางการขายเทคโนโลยีใดๆ ก็ตามที่ป้อนฟีด TikTok ของประชาชนภายใต้กฎระเบียบการส่งออกที่ได้รับการแก้ไขในปี 2020 ทำให้บางคนมองว่า อาจต้องมีการสร้างเทคโนโลยีใหม่สำหรับ TikTok ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะ

Robin Burke ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการสารสนเทศที่มหาวิทยาลัย Colorado Boulder กล่าวว่า บางส่วนของอัลกอริทึมอาจสามารถทำคล้ายคลึงได้โดยคนที่อยู่วงการเทคระดับเทพ แต่อย่าลืมว่า มีอีกหลายส่วนที่ TikTok โดดเด่นและนำคู่แข่งไปแล้ว และการทำซ้ำอาจพิสูจน์ได้ว่ามีความท้าทาย เพราะTikTok มีประสบการณ์และข้อมูลทั้งหมด ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ที่ธุรกิจในสหรัฐฯ จะสามารถสร้างสิ่งที่เทียบเท่าได้ หรือคงไม่ทันที

ตามข้อมูลของ Pitchbook มูลค่าของ ByteDance อยู่ที่ 2.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 8.175 ล้านล้านบาท

ที่มา CNN, BBC, AP News, Dailymail

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT