ธุรกิจการตลาด

สินค้าจ่อขึ้นราคา 10-20% ธุรกิจค้าปลีกอั้นไม่ไหวต้นทุนพุ่ง-ของแพงไปต่อ

7 พ.ค. 65
สินค้าจ่อขึ้นราคา 10-20% ธุรกิจค้าปลีกอั้นไม่ไหวต้นทุนพุ่ง-ของแพงไปต่อ

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผย ข้อมูลผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำเดือนเมษายน 2565 ในภาพรวมพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนเมษายนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 56.4 ปรับเพิ่มขึ้น 9.9 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนมีนาคมที่ 46.5 จุด โดยสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่องสองช่วงในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

 

รวมถึงการส่งเสริมการขายของร้านค้าต่างๆ และประกอบกับข่าวการเปิดประเทศรับการท่องเที่ยว ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น 10.3 จุด จากระดับ 48.9 จุด ในเดือนมีนาคม มาที่ 58.7 จุดในเดือนเมษายนสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโอมิครอนซึ่งกำลังเป็นช่วงขาลง และรัฐบาลกำลังจะประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น

ขณะที่ผลสำรวจพบว่าผู้ประกอบค้าปลีกมีแผนการการปรับราคาสินค้าใน 3 เดือนข้างหน้าในระดับ 10-20%


นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ผลการสำรวจพบว่า ยอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth (SSSG-YoY) ปรับเพิ่มขึ้น 9.9 จุด และอยู่เหนือค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 จุด เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนนับจากเดือนธันวาคม 2564

 

ทั้งนี้ เป็นการเพิ่มขึ้นในลักษณะ K-Shape ซึ่งเป็นรูปแบบการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดจนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ขณะที่บางส่วนยังไม่ฟื้นตัวและยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การฟื้นตัวไม่ครอบคลุมทุกประเภทร้านค้า

 

สำหรับร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า แฟชั่น ความงาม และภัตตาคาร-ร้านอาหาร ถือว่าเป็น K-Shape ขาขึ้นที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีจากนโยบายการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ และการยกเลิก Test & Go สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ รวมทั้งการปลดล็อกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิดของทุกจังหวัดเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางและดำรงชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกประเภท ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ K-Shape ขาลง และมีสัดส่วนกว่า 65% ของภาคค้าปลีกทั้งประเทศ กลับเติบโตน้อย สะท้อนให้เห็นว่า กำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจากการจ้างงานยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงอยู่

 

ข้อมูลผลสำรวจความเชื่อมั่น
Caption

 

 

อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้มีความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นการบริโภคด้วยนโยบายส่งเสริมและอุดหนุนของภาครัฐที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าโครงการของภาครัฐสามารถพยุงเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 มาได้

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในกลุ่มสินค้าหรือบริการผ่านโครงการประชารัฐ โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และช้อปดีมีคืน ก่อให้เกิดผลบวกต่อผู้ประกอบการภาคการค้าปลีก ภาคการท่องเที่ยว และกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ในระดับที่น่าพอใจ

 

ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญของ “การประเมินผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนต่อภาคการค้า ที่สำรวจระหว่างวันที่ 18-26 เมษายน 2565” ดังนี้

 

ประเมินผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนต่อธุรกิจ

  • มีผู้ตอบสัดส่วน 70% มีผลต่อต้นทุนสูงขึ้น
  • มีผู้ตอบสัดส่วน17% มีผลต่อการวางแผนธุรกิจยากขึ้น
  • มีผู้ตอบสัดส่วน 12% ยังไม่ได้รับผลกระทบ
  • มีผู้ตอบสัดส่วน1% ขาดวัตถุดิบในการผลิต

 


ประเมินแผนการการปรับราคาสินค้าใน 3 เดือนข้างหน้า

  • มีผู้ตอบสัดส่วน 52% เพิ่มขึ้นไม่เกิน 10%
  • มีผู้ตอบสัดส่วน 44% เพิ่มขึ้นระหว่าง 11- 20%
  • มีผู้ตอบสัดส่วน 4% เพิ่มขึ้นมากกว่า 20%

 

 

ประเมินผลกระทบความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนต่อราคาสต็อกสินค้าและสภาพคล่อง

  • มีผู้ตอบสัดส่วน 87% จะปรับราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า
  • มีผู้ตอบสัดส่วน 57% มีสต็อกเพียงพอแค่ 3 เดือน
  • มีผู้ตอบสัดส่วน 47% มีสภาพคล่องเพียงพอมากกว่า 12 เดือน

 

 

ผลสำรวจมี 3 ข้อเสนอต่อภาครัฐ

  • คงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐไว้อย่างต่อเนื่อง ภาครัฐควรพิจารณากระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนเพื่อให้เกิด การจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ (Local Consumption) สร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ผ่านหลากหลายโครงการของรัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่ง โครงการช้อปดีมีคืน และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
  • เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยภาครัฐ ภาครัฐควรมีการอนุมัติการลงทุนและดำเนินการโครงการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อเร่งสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการจัดจ้างการดำเนินงาน และสนับสนุนให้ SMEs เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมากขึ้น
  • พยุงราคาพลังงานให้คงที่และได้นานที่สุด ภาครัฐควรพิจารณาใช้ทุกมาตรการในการช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนผ่าน การพยุงราคาพลังงาน เพื่อให้ค่าครองชีพไม่ปรับตัวแบบก้าวกระโดด อาทิ การใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการออกมาตรการควบคุมราคาค่าขนส่ง

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

1.“เงินเฟ้อ” น่ากังวลแค่ไหน ? ในมุมมองของแบงก์ชาติ

 

2."มาม่า" ยังขายราคา(ปลีก)เดิม พาณิชย์ สั่งตรึงราคา เป็นสินค้าควบคุมต้องขออนุญาต

 

3.เงินเฟ้อตุรกี นิวไฮรอบ 20 ปี โดนพิษวิกฤตของแพง เดือนเม.ย.พุ่งเกือบ 70%

 

4.น้ำมันปาล์ม 70 บาท "มาแน่"

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT