สมรภูมิสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มทั้งหลายกำลังดิ้นสู้เพื่อเอาตัวรอด จากสภาพเศรษฐกิจที่ส่งผลให้ผู้ชมจำนวนมากต่างไม่อยากต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม จึงงัดกลยุทธ์การตลาดออกมาแข่งขันกันต่อเนื่อง
แต่กรณีการยกเลิกการแชร์พาสเวิร์ด หรือ ยกเลิกสายหาร สำหรับคนที่อยู่คนละครอบครัวหรือคนละบ้าน ซึ่ง Netflix ที่ได้บุกเบิกทำมาตั้งแต่ราว 24 พ.ค.ที่ผ่านมา แม้ว่าผู้บริโภคจะต้องเจ็บปวดที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่ปรากฏว่า ทำให้จำนวนผู้ใช้บริการของ Netflix เพิ่มขึ้น 5.9 ล้านรายในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
ล่าสุด ดีสนีย์ + จากค่ายดีสนีย์ ประกาศจะเริ่มยกเลิก การแชร์พาสเวิร์ด เหมือน Netflix บ้างโดยจะมีผลปีหน้านี้ (2024) โดยที่ Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์พลัส ยังไม่ให้รายละเอียดแพคเกจใหม่นี้มากนัก
แต่ระบุว่า บริษัทกำลังสำรวจข้อมูลการใช้งานแพลตฟอร์มที่มีการแชร์พาสเวิร์ด โดยคาดว่าปลายปีนี้จะสามารถให้รายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายควบคุมการแชร์พาสเวิร์ดนี้ได้ ซึ่งเค้าก็คาดหวังว่า นโยบายนี้จะส่งผลดีต่อผลกำไรของบริษัทนั่นเอง
Disney มี 3 บริการสตรีมมิ่ง คือ Disney+, Hulu และ ESPN+ เมื่อวันวานนี้ ดิสนีย์ พูดถึงการ เตรียมขึ้นราคาบริการสตรีมมิ่งเกือบทั้งหมด Disney+ แบบไม่มีโฆษณาจะมีราคา 13.99 ดอลลาร์ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 27% ราคาของ Hulu ที่ไม่มีโฆษณาเพิ่มขึ้นเป็น $17.99 ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 20% ส่วนตัวเลือกที่มีโฆษณาของ Hulu และ Disney+ ยังคงมีราคาเท่าเดิม โดยจะเริ่ม 12 ต.ค.66
Iger เองก็ยังไม่แน่ใจ ว่า เมื่อบริษัทยกเลิกการแชร์รหัส จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของสมาชิกมากแค่ไหน แต่การขึ้นราคาก็เป็นหนทางในการเพิ่มรายได้
ปัจจุบัน บริษัท Walt Disney มีมูลค่าต่ำกว่า 160,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 22.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ดิสนีย์รายงานผลขาดทุนจากธุรกิจสตรีมมิ่งในไตรมาสที่ 3/2566 อยู่ที่ 512 ล้านดอลลาร์ ดีขึ้นจากเมื่อปีก่อนที่ขาดทุนถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ ส่วน Disney+ ได้ลูกค้าหลักเพิ่มขึ้น8 แสนราย รวมทั้งสิ้นเป็น 105.7 ล้านราย โดยไม่นับรวมบริการ Hotstar ในเอเชีย