ธุรกิจการตลาด

‘Netflix’ ตัดราคาสู้ Disney+/ Hulu เดือนละ 270 บาท แต่มีโฆษณาคั่น

14 ต.ค. 65
‘Netflix’ ตัดราคาสู้ Disney+/ Hulu เดือนละ 270 บาท แต่มีโฆษณาคั่น

หลังเจอยอดสมาชิกตกรัวๆ ตั้งแต่ต้นปีจนราคาหุ้นตก ‘Netflix’ เตรียมดันยอดสมาชิกเพิ่มรายได้ขึ้นอีกครั้ง ด้วยการออกแพลนใหม่ “ให้รับชมได้ในราคาถูกลง แต่มีโฆษณาคั่น” ในราคา 6.99 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (ราว 270 บาท) จากแพ็คเกจปัจจุบันที่สตาร์ทถูกสุด 10 ดอลลาร์/เดือน (ราว 380 บาท)

โดยจะเริ่มปล่อยแพลนนำร่องตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายนใน 12 ประเทศก่อนคือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี บราซิล เม็กซิโก สเปน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าล็อตแรกนี้ยังไม่มี “ประเทศไทย”

เรียกได้ว่าแข่งกันดุเดือดจริงๆ สำหรับสมรภูมิดึงผู้ชมของสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มทั้งหลาย ที่ต่างออกคอนเทนท์มาดึงให้คนเสียเงินเป็นสมาชิก รวมไปถึงออก Ad-supported plan หรือเรียกง่ายๆ ก็คือแพลนราคาถูกแบบมีโฆษณาคั่น เพื่อดึงดูดผู้บริโภคทั่วโลกที่กำลังเจอปัญหาความยากลำบากกับภาวะเงินเฟ้อ ของแพง ให้กลับมาเป็นสมาชิกอีกครั้ง

ถึงแม้จะประกาศแพลนออกมาหลังใครเพื่อน แต่ Netflix ก็มาเหนือด้วยการ “ตั้งราคาตัดขาคู่แข่ง” ชนิดถูกที่สุดในวงการกันไปเลย โดยเทียบแพ็คเกจถูกสุดได้ ดังนี้

  • HBO Max - 9.99 ดอลลาร์/เดือน
  • Amazon Prime - 8.99 ดอลลาร์/เดือน
  • Disney+ - 7.99 ดอลลาร์/เดือน
  • Hulu - 7.99 ดอลลาร์/เดือน
  • Netflix - 6.99 ดอลลาร์/เดือน

โดยหลังจากข่าวการตัดราคานี้ออกมา ราคาหุ้น Netflix บนตลาดหุ้น Nasdaq ก็บวกขึ้นแรงทันทีจากราคาเปิด 212.69 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ 232.51 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อคืนที่ผ่านมา หรือเพิ่มขึ้นถึง 5.27% 

จากประกาศของ Netflix แพลนแบบมีโฆษณานี้จะให้ผู้ชมดูคอนเทนต์ได้เหมือนแพลน Basic แต่จะมีโฆษณายาวประมาณ 4-5 นาที มาคั่นทุกชั่วโมง ไม่สามารถดาวน์โหลดคอนเทนต์ไว้ดูในเครื่องได้ รวมไปถึงดูคอนเทนต์บางส่วนถึง 10-15%ไม่ได้เพราะยังติดปัญหาลิขสิทธิ์ แต่ Netflix ยังไม่ประกาศว่าคอนเทนต์ที่ว่านั้นคือเรื่องไหน

 

แพ็คเกจนี้จะช่วย Netflix เพิ่มจำนวนสมาชิกและรายได้ได้อย่างไร?

จากงานแถลงข่าวเปิดตัว แพ็คเกจนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนสมาชิกจากคนหลายกลุ่มด้วยกัน รวมไปถึงลูกค้าเก่าที่เคยยกเลิกสมาชิก หรือลังเลที่จะสมัครสมาชิกเพราะต้องการตัดค่าใช้จ่าย และช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่าที่ตอนนี้เป็นสมาชิกในแพลนราคาสูงอยู่ เพราะบางส่วนอาจตัดสินใจลดเกรดแพลนให้เหมาะสมกับความต้องการเพื่อเซฟค่าใช้จ่ายถ้ามีทางเลือก

นอกจากนี้ ยังจะทำให้ Netflix ได้รายได้จากค่าโฆษณา ที่จะมาช่วยอุดรูรั่วค่าสมาชิกที่หายไปจาก “การแชร์รหัสผ่าน” ที่คนเอาแพ็คเกจ Family ไปแชร์หลายจอ เพราะค่าโฆษณาจะได้จากยอดการกดดู ไม่ใช่การกด Subscribe และทางแพลตฟอร์มได้ติดต่อร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยี DoubleVerify Holdings Inc. และ Integral Ad Science Holding Corp. เพื่อมาช่วยสร้างระบบยืนยันยอดวิวที่เที่ยงตรง รวมไปถึงทำงานกับ Nielsen Holdings เพื่อช่วยสร้างระบบวัดจำนวนยอดวิวโฆษณาด้วย

Netflix กล่าวว่าการโฆษณากับแพลตฟอร์มมีข้อดีสำคัญคือ ทำให้นักโฆษณาเลือกจับคู่โฆษณาตัวเองกับคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องได้ ทำให้เจาะกลุ่มลูกค้าได้ตรงทั้งในแง่อายุ เพศ และความชอบ เพราะผู้ชมสื่อแต่ละประเภทก็มีความสนใจแตกต่างกัน โดยจะมีการเก็บข้อมูลคือวันเกิด และเพศ ของผู้ใช้แพลนแบบมีโฆษณาทุกคนเพื่อให้นักโฆษณามีข้อมูลไว้ใช้ในการวางแผนลงสื่อโฆษณาสินค้าและบริการของตัวเองได้

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมาพร้อมราคาที่ถูกลง ข้อจำกัดของแพลนที่ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถดาวน์โหลดหรือเข้าถึงบางคอนเทนต์ได้ ก็อาจทำให้สมาชิกในแพลนราคาสูงตัดสินใจไม่ลดเกรดแพลนตัวเองลง หรือก็อาจทำให้ลูกค้าแพลนแบบไม่มีโฆษณาเปลี่ยนมาใช้แพลนใหม่จำนวนมากจนทำให้รายได้จากค่าสมาชิกรายเดือนหด

เกรก ปีเตอร์ส ประธานฝ่ายปฏิบัติการของ Netflix กล่าวว่าทางบริษัทคาดว่าน่าจะมีลูกค้าบางส่วนตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้แพลนแบบมีโฆษณา แต่รายได้ที่ทางบริษัทได้จากแพลนนี้น่าจะเท่าหรือมากกว่าค่าสมาชิกที่บริษัทได้ในปัจจุบัน

จากการรายงานของ The Wall Street Journal นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าแพลนนี้จะทำให้ Netflix มียอด Subscriber เพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านคนแค่เฉพาะอเมริกาในปีนี้ และจะได้ค่าโฆษณาที่จะเป็นช่องทางทำเงินใหม่ที่สำคัญของ Netflix ในอนาคต 

และยังกล่าวอีกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่ดี เพราะในปัจจุบันที่ตลาดมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมากมาย การมุ่งเพิ่มจำนวนสมาชิกเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดี แต่การหาทางเพิ่มรายได้ระยะยาวทางอื่นด้วยต่างหากจะเป็นทางให้ Netflix รักษาตำแหน่งของตัวเองในฐานะยักษ์ใหญ่ของวงการสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มต่อไปได้

แต่ถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นรับข่าวนี้ ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่าแผนเพิ่มยอดสมาชิกและรายได้ของ Netflix คราวนี้จะได้ผลหรือไม่ หลังจากเสียสมาชิกไปถึง 200,000 คน ในไตรมาสที่ 1 และเกือบ 1,000,000 คนในไตรมาสที่ 2 


ที่มา: The Wall Street Journal, Forbes, BBC




advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT