
‘นครพนม’ จังหวัดสำคัญในภาคอีสานของไทย ที่สืบสานวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน จังหวัดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา ความเชื่อ และความหวังของผู้ที่มาเยือนริมโขงแห่งนี้ สถานที่สำคัญที่หลายคนรู้จัก เช่น พระธาตุพนม พระธาตุประจำวันเกิด พญาศรีสัตตนาคราช หรือถ้ำนาคีนาคา
แต่นอกเหนือจากจังหวัดที่มีความเชื่อว่าเป็นลูกหลานพญานาคแล้ว ‘นครพนม’ ยังมีอีกมิติที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน นั่นคือมิติทางเศรษฐกิจ เพราะนครพนมเป็นประตูการค้าที่เชื่อมไทยกับ สปป.ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 120,000 ล้านบาทต่อปี นี่ยังไม่รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และการท่องเที่ยวสายมูที่กลายมาเป็นจุดแข็งและจุดขายของจังหวัดนครพนม จนสร้างความคึกคักให้แก่เศรษฐกิจ สามารถพลิกฟื้นจาก ‘เมืองผ่าน’ สู่ ‘เมืองพัก’ ได้สำเร็จ
บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมารู้จักกับ ‘จังหวัดนครพนม’ จากเมืองรองสายมู สู่ดาวรุ่งริมโขงที่น่าจับตามอง พลิกเศรษฐกิจด้วย ‘คน’ โดยทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาสไปเยือนนครพนมและได้มีโอกาสพูดคุยสุด exclusive กับคุณอิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ รองประธานฝ่ายนโยบายสาธารณะและรัฐกิจสัมพันธ์ LINE MAN Wongnai, ว่าที่ร้อยตรี รวยรุ่ง ใครบุตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม, คุณชนนท์ กุลตั้งวัฒนา ประธาน YEC นครพนม, คุณวิศรุต สร้อยคำ เจ้าของร้าน Chewa Cafe By SK Sroikham
นครพนม เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) ของประเทศไทย เป็นจังหวัดชายแดนที่อยู่ริมแม่น้ำโขง ที่เชื่อมติดกับจังหวัดบึงกาฬ, จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดสกลนคร
โดยนครพนมถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดนสูงมาก ด้วยที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นประตูการค้าสำคัญเชื่อมไทยกับ สปป.ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ ผ่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 3 จึงกลายเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งและส่งออกผลไม้ไทยไปจีน รวมถึงสินค้าทางการเกษตรและสินค้าแปรรูปอื่น ๆ
ทำให้ปัจจุบันมูลค่าการค้าชายแดนของนครพนมสูงกว่า 120,000 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในอนาคตเมื่อโครงการรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่–นครพนมแล้วเสร็จในปี 2571 จะยิ่งเสริมศักยภาพด้านโลจิสติกส์ของจังหวัดให้แข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งในด้านต้นทุนและเวลาในการขนส่งสินค้า
นอกจากนี้นครพนมยังมีจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ด้วยภูมิทัศน์ริมแม่น้ำโขงที่ยาวกว่า 100 กิโลเมตร เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนตลอดปี โดยเป็นที่รู้จักกันในฐานะเมืองของสายศรัทธา โดยมีทั้งพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ 8 พระธาตุประจำ 7 วันเกิด และยังมีแลนด์มาร์กสำคัญอย่างพญาศรีสัตตนาคราช ถ้ำนาคีนาคา นี่ยังไม่รวมงานสายบุญประเพณีสำคัญประจำปี ไม่ว่าเป็น เดือนกุมภาพันธ์จะมีงานนมัสการพระธาตุพนม เดือนกรกฎาคมจะมีงานบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เดือนกันยายนจะมีงานมหกรรมไหลเรือไฟโลก ซึ่งแต่ละงานสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หลักแสนคน
สิ่งเหล่านี้คือจุดแข็งที่กลายมาเป็นจุดขายของจังหวัด ที่ช่วยผลักดันให้นครพนมจากจังหวัดเมืองรองในภาคอีสาน กลายเป็นจังหวัดดาวรุ่งที่น่าจับตามอง
เมื่อเรากล่าวถึงเมืองที่กำลังพัฒนา แน่นอนว่าต้องมีปัจจัยหลายอย่างที่เกื้อหนุนกัน ทั้งเทคโนโลยี การส่งเสริมจากภาครัฐและเอกชน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการพัฒนาศักยภาพของคน โดยสิ่งเหล่านี้ต้องไปควบคู่กันเพื่อผลักดันให้เมืองนั้นๆถูกพัฒนาขึ้น
ว่าที่ร้อยตรี รวยรุ่ง ใครบุตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เปิดเผยว่า จังหวัดนครพนมมีของดีเยอะมากทั้งวิวทิศน์ที่สวยงามจากแม่น้ำโขง แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและสายบุญ และของกินที่อร่อย กะละแม หมูยอ หรือแม้แต่ปลาส้ม สิ่งเหล่านี้คือของดีที่ชาวบ้านรู้ แต่สิ่งสำคัญคือ “ทำอย่างไรให้ของดีเหล่านี้กลายมาเป็นที่รู้จักของทุกคน” จุดแข็งของจังหวัดนครพนมคือ ‘คน’ คนนครพนมมีความสามัคคี ช่วยเหลือกันไม่เกี่ยงงานหนักหรือเบา ตั้งแต่ภาครัฐและเอกชน รวมถึงทุกธุรกิจตั้งแต่ SME ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม
นอกจากนี้ ร้อยตรี รวยรุ่ง ใครบุตร ยังได้เล่าต่ออีกว่าทุกๆครั้งที่จังหวัดมีโปรเจกต์อะไรจะมีการเชิญผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่อย่างกลุ่ม YEC เข้ามาร่วมประชุมด้วยทุกครั้ง เพราะทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือช่วยเหลือจังหวัด
โดยกลุ่ม YEC (Young Entrepreneur Chamber of Commerce) หรือ หอการค้าผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ถือได้ว่าเป็นกลุ่มนักธุรกิจคนรุ่นใหม่ที่เข้ามามีบทบามสำคัญในการพัฒนาจังหวัดบ้านเกิดของตน และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดนั้นๆ
คุณชนนท์ ประธาน YEC นครพนม ได้เล่าว่า ตนเกิดที่จังหวัดนครพนมและได้ย้ายเข้าไปเรียนที่กรุงเทพตอน ป.6จนจบมหาวิทยาลัย และได้ตัดสินใจกลับมาบ้านเกิดเพื่อสานต่อธุรกิจที่บ้าน พร้อมกับเป้าหมายอยากกลับมาพัฒนาบ้านเกิดของตนให้มีความเจริญทัดเทียมเท่ากับจังหวัดอื่นๆ
เช่นเดียวกันดับ คุณวิศรุต สมาชิกของ YEC นครพนม และ เจ้าของร้าน Chewa Cafe By SK Sroikham ได้แชร์มุมมองว่า ตนเป็นอีกคนที่เกิดที่นครพนม แต่ได้มีโอกาสไปเรียนและกรุงเทพ และต่างประเทศ แต่เมื่อช่วงโควิดได้ตัดสินใจกลับมาบ้านเกิดพร้อมกับทำธุรกิจคาเฟ่เป็นของตนเองเพราะเห็นโอกาสจากช่องว่างทางการตลาดของธุรกิจ F&B ที่ยังมีไม่มาก
ความน่าสนใจคือ คุณวิศรุต ได้นำ ‘ของดีท้องถิ่น’ มาต่อยอดให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น เช่น การนำกะละแมของขึ้นชื่อของนครพนม มาครีเอทเป็นเมนูเครื่องดื่มอย่างสมูทตี้ กาแฟ และไอศกรีมกะละแม มาเป็นเมนู signature ในคาเฟ่ของตน
อีกหนึ่งตัวอย่างคือ ลิ้นจี่ นพ.1 ซึ่งเป็นสินค้าขึ้นทะเบียน GI ของจังหวัด นำมาแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความน่าสนใจ จนได้รับการนำเสนอผ่านสื่อและห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ ช่วยขยายตลาดให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่
นอกจากนี้ ทีม SPOTLIGHT ยังได้มีโอกาสพูดคุยกับกลุ่ม YEC สกลนคร ที่แม้ว่าเป็นจังหวัดใกล้เคียงกัน แต่ได้เห็นถึงความแน่นแฟ้นของเครือข่ายของผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ ที่มีใจรักอยากกลับมาพัฒนาบ้านเกิดและช่วยเหลือกันแม้อยู่คนละจังหวัด
เช่นเดียวกันกับ คุณเจ (นามสมมุติ) พนักงานนวดไทย ที่เกิดและเติบโตที่จังหวัดนครพนม เธอได้เปิดใจและเล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า ตนได้กลิ่นความเจริญเริ่มเข้ามาที่นครพนมช่วงตอนปี 2559 ในช่วงที่ ก่อสร้างรูปปั้นพญาศรีสัตตนาคราช หลังจากนั้นการท่องเที่ยวของจังหวัดก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และด้วยความที่เติบโตมากับจังหวัดนครพนม ตนจึงเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับและมองว่านี่คือโอกาสทางธุรกิจของพวกเขาที่กำลังเติบโตหากเศรษฐกิจท้องถิ่นถูกพัฒนาขึ้น
จะเห็นได้ว่า นี่คือตัวอย่างของพลังคนรุ่นใหม่ที่มีหัวคิดทันสมัยที่มีใจรักอยากกลับมาพัฒนาบ้านเกิด จับมือกันเป็นเครือข่ายพันธมิตร และเช่นเดียวกันกับภาครัฐที่เปิดโอกาสและพร้อมรับฟังความคิดเห็นใหม่ๆจากเด็กรุ่นใหม่ จนสุดท้ายสิ่งเหล่านี้ออกดอกออกผลกลายมาเป็นความสำเร็จที่สร้างชื่อให้แก่จังหวัดนครพนม
คุณชนนท์ ประธาน YEC นครพนม ได้เล่าว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา นครพนมได้เปลี่ยนผ่านจาก ‘เมืองผ่าน’ ที่นักท่องเที่ยวแวะเพียงชั่วคราว มาเป็น ‘เมืองพัก’ อย่างเต็มตัว ปัจจัยสำคัญมาจากการเกิดแลนด์มาร์กสำคัญอย่าง พญาศรีสัตตนาคราช ที่กลายเป็นจุดหมายแห่งศรัทธาและสัญลักษณ์ของจังหวัด ช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจพักค้างคืนเพื่อท่องเที่ยวและสัมผัสบรรยากาศริมโขงอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เศรษฐกิจในพื้นที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นเทรนด์ธุรกิจที่กำลังมาแรงในนครพนม คือ ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น งานไหลเรือไฟ หรือวันหยุดยาว ที่มักประสบปัญหาห้องพักไม่เพียงพอ รองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจำนวนมาก สะท้อนถึงศักยภาพของจังหวัดในฐานะเมืองท่องเที่ยวหลัก และเป็น โอกาสทองสำหรับนักลงทุน ที่ต้องการเข้ามาพัฒนาในภาคธุรกิจบริการ
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ บทบาทของเทคโนโลยีหลังยุคโควิด-19 ที่ทำให้ผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการขยายฐานลูกค้าและบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายผ่านแอปเดลิเวอรี การจองห้องพักออนไลน์ หรือการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถแข่งขันกับธุรกิจรายใหญ่ได้อย่างเท่าเทียม และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน
โดยสำหรับเป้าหมายในอนาคตของจังหวัดนครพนม คุณชนนท์ ประธาน YEC นครพนม มองว่า ตนเห็น 2 โอกาสที่นครพนมสามารถถูกพัฒนาได้ นั้นก็คือ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนครพนมยังคงขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่รองรับการจัดงานขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันผลักดันในระยะต่อไป เพื่อให้จังหวัดสามารถก้าวขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวและการจัดงานระดับภูมิภาคได้อย่างสมบูรณ์ในอนาคต
ส่วนคุณวิศรุต เจ้าของร้าน Chewa Cafe By SK Sroikham ได้เปิดใจเล่าในฐานะผู้ประกอบการเจ้าของคาเฟ่ว่า ตนได้ตัดสินใจเปิดร้านคาเฟ่ครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งตอนนั้นนครพนมมีเพียงไม่กี่ร้านเท่านั้น ผ่านมากว่า 5 ปี ตอนนี้ธุรกิจคาเฟ่ที่นครพนมมีผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามามากมาย ดังนั้นการทำธุรกิจให้รอดในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องท้าทายเนื่องจากลูกค้ามีโอกาสในการเลือกมากขึ้น
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในยุคปัจจุบัน การทำอาหารอร่อยถือเป็นเพียง ‘พื้นฐาน’ ของการเปิดร้าน แต่สิ่งที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้าคือ ‘รีวิว’ และ ‘รางวัลการันตี’ ที่ทำหน้าที่เหมือนเครื่องยืนยันคุณภาพและความน่าเชื่อถือของร้าน เพราะในโลกออนไลน์ที่มีตัวเลือกมากมาย รีวิวจากลูกค้าจริงคือสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคเลือกเข้าร้านนั้น ๆ ได้ง่ายขึ้น
โดยรีวิวคือเครื่องมือสำคัญในการพัฒนา เพราะคำติชมของลูกค้าคือ ‘อาจารย์ที่ดีที่สุด’ ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง และนำไปปรับปรุงทั้งด้านรสชาติ บริการ และประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน รางวัลต่าง ๆ เช่น LINE MAN Wongnai Users’ Choice ก็เปรียบเสมือน ‘เป้าหมาย’ ที่ผู้ประกอบการอยากวิ่งเข้าไปให้ถึง มันไม่ใช่แค่เครื่องหมายแห่งความภาคภูมิใจ แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้เจ้าของร้านมีแรงใจพัฒนาคุณภาพของร้านให้ดียิ่งขึ้นทุกปี เพื่อรักษามาตรฐานและความไว้วางใจจากลูกค้าให้ได้อย่างยั่งยืน
คุณอิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ รองประธานฝ่ายนโยบายสาธารณะและรัฐกิจสัมพันธ์ LINE MAN Wongnai ได้เปิดเผยว่า นครพนมถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีการเติบโตโดดเด่นที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นตัวอย่างชัดเจนของเทรนด์ ‘เมืองรองกำลังโต (High Growth City)’ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ LINE MAN ที่มุ่งขยายบริการเข้าถึงอำเภอรองและพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศมากขึ้น โดยยอดออเดอร์ในนครพนมเติบโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งภาคอีสานอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงพฤติกรรมการใช้บริการดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคท้องถิ่น
จากข้อมูลล่าสุด ภาพรวมการเติบโตแบบปีต่อปี (YoY) พบว่า
ในแง่พฤติกรรมผู้บริโภค เมนูยอดนิยมของคนอีสาน ได้แก่ ส้มตำ โดยเฉพาะตำป่าและตำปูปลาร้า ส่วน เครื่องดื่มยอดฮิต ได้แก่ อเมริกาโน่และมัทฉะ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง นอกจากนี้ ในหมวดเครื่องดื่มยังมีแบล็คคอฟฟี่ ชาเขียวนม เอสเพรสโซ่เย็น ชาไทย และช็อกโกแลต ติดอันดับยอดนิยม ขณะที่หมวดอาหารมีเมนูขายดีอย่างตำลาว ข้าวมันไก่ และข้าวผัดหมู โดยช่วงเวลา พีคของการสั่งอาหารคือ 11.00–14.00 น.
ประเภทอาหารที่เติบโตเร็วในปีนี้ ได้แก่ เพียวมัทฉะ สตรอว์เบอรี่ซันเดย์ พรีเมียมมัทฉะลาเต้ รามยอนเผ็ดเกาหลี x ไก่เกาหลี และขนมปังเกลือ (Shio Pan) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคในภูมิภาคเริ่มเปิดรับเมนูใหม่ ๆ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบว่า เมืองรองในภาคอีสานเติบโตได้ดีมาก โดย Top 5 เมืองรองที่มีการเติบโตสูงสุดบน LINE MAN ได้แก่ สุรินทร์ อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และมุกดาหาร รวมถึงอำเภอขนาดเล็กที่แพลตฟอร์มเข้าไปให้บริการแล้ว เช่น ด่านซ้าย (เลย), ขุขันธ์ (ศรีสะเกษ), บรบือ (มหาสารคาม) และธวัชบุรี (ร้อยเอ็ด)
สำหรับ ร้านยอดนิยมบน LINE MAN จังหวัดนครพนม ได้แก่ : ร้านไก่จ๋า, ร้านส้มตำใบเตย ตำแซ่บ, ครัวโพธิ์ศรี, ตำตุ๊ปุ๊ สาขานครพนม, ร้านโปรด, Nomu Coffee and Dessert, ส้มตำป้าน้อย, พรเทพ อาหารเช้า, แอบอร่อย ตามสั่ง 2, ตำยำยั่ว
ทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาสไปเดินเล่นที่ตลาดนัดกลางเมืองจังหวัดนครพนม และมีได้มีโอกาสพูดคุยกับแม่ค้า พบว่าตลาดนัดมีความคึกคักมาก ทั้งแม่ค้าที่ขายของตามแผงลอย นักท่องเที่ยวและชาวบ้านเดินเล่นกันเต็มถนน
แม่ค้า เจ้าของร้านปลาส้มปิ้ง เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า ตั้งแต่มีโครงการคนละครึ่งพลัส ร้านค้าของตนก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ลูกค้ากล้าจับจ่ายใช้สองยมากขึ้นเพราะรู้สึกคุ้มค่าคุ้มราคา และอยากให้รัฐบาลออกนโนบายแบบนี้มากระตุ้นเศรษฐกิจอีกเรื่อยๆ
ส่วนชาวบ้าน ที่เดินเล่นให้ตลาด ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า ตนดีใจมากได้รับคนละครึ่งพลัส เพราะทำให้ตนกล้าออกไปจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ถามว่าพอไหมกับเงินที่ได้มาก็อาจจะไม่ได้เพียงพอขนาดนั้น แต่เหมือนได้ต่อชีวิตของครอบครัวมากขึ้น
ด้านคุณวิศรุต เจ้าของร้าน Chewa Cafe By SK Sroikham เล่าว่า จากประสบการณ์ตรงในฐานะผู้ประกอบการร้านอาหาร โครงการ ‘คนละครึ่ง’ ที่ผ่านมาเป็นมาตรการที่สร้างผลลัพธ์ชัดเจนมาก โดยเฉพาะในช่วงเฟสก่อนหน้านี้ เราเห็นยอดขายหน้าร้านเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 100–150% ซึ่งถือว่าเติบโตเร็วที่สุดตั้งแต่เปิดร้านมา และที่สำคัญคือได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นราว 50% เพราะหลายคนที่ไม่เคยเข้ามารับประทานก็เริ่มรู้จักร้านจากสิทธิ์คนละครึ่ง แล้วกลับมากินซ้ำภายหลัง
สิ่งที่อยากเน้นคือ โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการกระตุ้นระยะสั้น แต่เป็น โอกาสทองในการสร้างฐานลูกค้าประจำ ถ้าเรารักษาคุณภาพอาหารและบริการให้ดี ลูกค้าที่ได้ลองจากโครงการก็จะกลายเป็นลูกค้าประจำของร้านในระยะยาว ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ยั่งยืนกว่าการได้ยอดขายชั่วครั้งชั่วคราว
ส่วนในเฟสใหม่นี้ที่มีความร่วมมือกับแพลตฟอร์มเดลิเวอรีอย่าง LINE MAN มองว่าเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะช่วยให้ร้านสามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ไม่เฉพาะลูกค้าที่มาหน้าร้าน แต่รวมถึงคนที่อยู่บ้านหรือในพื้นที่รอบนอกด้วย ผมเชื่อว่าครั้งนี้ยอดขายน่าจะเพิ่มขึ้นได้อีกอย่างน้อย 150% และถ้าได้รับการตอบรับดีเหมือนที่ผ่านมา อาจพุ่งสูงถึง 300% ก็เป็นไปได้จริง ๆ
ส่วนข้อมูลจาก LINE MAN ก็ได้เปิดเผยข้อมลูที่น่าสนใจ อย่างเช่น