หากพูดถึงร้านข้าวซอย เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะมีร้านเด็ดในดวงใจ ยิ่งถ้าใครไปแอ่วเหนือต้องไปกินทุกครั้ง เพราะรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของข้าวซอย น้ำซุปกะทิเข้มข้น หอมเครื่องเทศ และเผ็ดเล็กน้อย
แต่ถ้าจะพูดถึงร้านข้าวซอย ที่ไม่ใช่ข้าวซอยในรูปแบบเดิมๆที่เรากินกันประจำ แต่เป็นข้าวซอยที่มาเสิร์ฟในรูปแบบแปลกตา ดูทันสมัย โมเดิร์น ดูแล้วคล้ายคลึงกับราเมง ก็คงหนีไม่พ้นร้านโซ-อิ (Khao-Sō-i) ร้านข้าวซอยร่วมสมัย ที่ทำอาหารให้ทุกจานมีเรื่องราว จนกลายเป็นงาน craft
ผู้เขียนเคยได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณวิน เจ้าของร้านข้าวโซอิเมื่อ 2 ปีก่อน คุณวินได้เล่าให้ฟังว่าตนอยากพาข้าวซอยไทยไปเวทีโลกให้ได้ อยากให้ต่างชาติทุกคนได้กินข้าวซอยรสชาติดั้งเดิม นี่เป็นความฝันหรือเป้าหมายสำหรับผู้ประกอบการคนนึง ทั้งที่ตอนนั้นมีร้านในประเทศไทยแค่ 2 สาขา
ฟังดูแล้วนี่อาจดูเป็นความฝันที่ห่างไกลเกินเอื้อม แต่เชื่อหรือไม่ผ่านมาแค่ 1 ปี ข้าวโซอิ ได้ไปไกลระดับโลกของจริง โดยบุกไปไกลถึงลอนดอน! แม้เบื้องหลังนี้คุณวินเล่าว่า เค้าใช้เวลาตอบตกลงโอกาสที่ผู้ใหญ่ใจดีหยิบยื่นให้เพียงแค่ 30 วินาทีเท่านั้น โดยที่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า หรือต้องทำอะไรบ้าง แต่เมื่อโอกาสลอยมาอยู่ตรงหน้า คุณวินไม่ปล่อยให้มันหลุดมือ
บทความนี้ ทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาสพูดคุยสุด exclusive กับคุณวิน ศรีนวกุล เจ้าของร้านและผู้ก่อตั้ง ข้าวโซ-อิ (Khao-Sō-i) ผู้คิดทำ 'ข้าวซอย' ให้เป็นงาน craft พาเมนู ‘ข้าวซอยไทย’ บุกลอนดอน
ข้าวโซอิ (Khao-Sō-i) คือ ร้านข้าวซอยร่วมสมัย ที่เกิดขึ้นจากไอเดียของภรรยาของคุณวิน ที่อยากเปิดร้านข้าวซอยที่เชียงใหม่ แต่ร้านข้าวซอยในเชียงใหม่มีร้านเด็ด ร้านดังประจำจังหวัดอยู่แล้ว คำถามคืออะไรที่จะทำให้ร้านข้าวโซอิ โดดเด่นและแตกต่างกว่าเจ้าอื่นๆ
แม้ยังไม่แน่ชัดตั้งแต่เริ่มแรกว่าข้าวซอย ของร้านข้าวโซอิ จะมีจุดเด่นอะไร แต่สิ่งที่คุณวินและภรรยาอยากทำให้เกิดขึ้น คือ อยากให้วัยรุ่นอินกับข้าวซอย อยากให้ข้าวซอยมีชีวิตชีวา อยากให้ข้าวซอยเป็นอาหารที่อินเทรนด์
นั่นเลยเป็นที่มาของร้านข้าวโซอิ ข้าวซอยที่มีรสชาติแบบดั้งเดิม แต่ความพิเศษคือการนำเสนอและดีเทลในการเสิร์ฟ ด้วยความที่คุณวินเคยเป็น ซูชิเชฟมาก่อน และเคยเป็นไกค์ต่างประเทศ เลยได้นำความรู้ เทรนด์อาหารของประเทศต่างๆ มาปรับใช้ และพยายามสร้างสรรค์ให้ข้าวซอยทุกชาม เป็นงาน Craft
หากใครเคยกินร้านราเมงเส้นสด รสชาติที่เราได้สัมผัสมันแตกต่างกับราเมงสำเร็จรูปแน่นอน และการลวกเส้นเราก็สามารถเลือกได้หลายแบบตามความชอบทั้งแบบแข็ง กลาง และอ่อน สิ่งเหล่านี่คือประสบการณ์และดีเทลของร้านราเมงของญี่ปุ่น ที่มีความใส่ใจทุกดีเทลจนผู้บริโภครับรู้และรู้สึกได้
สิ่งที่เหล่าคุณวินได้เอามาประยุกต์ใช้กับร้านข้าวโซอิ ร้านข้าวซอยของตนที่ใส่ใจทุกดีเทล ตั้งแต่
คุณวิน ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า ตอนเปิดร้านข้าวโซอิที่เชียงใหม่ ตอนนั้นเป็นร้านเล็กๆที่นั่งเพียงแค่ 31 ที่นั่ง โดยตนไม่เคยมีประสบการณ์เปิดร้านอาหารเองมาก่อน ซึ่งตอนนั้นไม่มีต้นทุน คุณวินและภรรยาเลยทำกันเองทุกอย่าง คิดอะไรก็ต้องประหยัดงบ ไม่ว่าจะเป็น การแต่งร้าน ซื้ออุปกรณ์ครัว การทดลอง R&D หรือพูดง่ายๆก็คือ ทำกันเอง 2 คนผัวเมีย ใช้แรงตัวเองหมด ลงดีเทลเองทุกจุด
ซึ่งตอนนั้นข้าวโซอิ ก็ไม่มีระบบหลังบ้านอะไรเลย ไม่มีการเก็บ data ลูกค้า เพราะโจทย์แรกคือตอนนั้น คือทำยังไงก็ได้ให้คนมากินร้านเราเยอะที่สุด ทำยังไงก็ที่อยากสร้างความผูกผันกับตนและลูกค้า
คุณวิน ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า ความท้าทายหลังจากนั้นคือตอนที่ข้าวโซอิ กำลังจะขยายร้านให้ใหญ่ขึ้น จากพนักงานเพียง 8 คน มาสู่ 20 คน
“ณ วันนั้นเรารู้แล้วว่า เราต้องเอามือเราออกมาแล้วฝากอนาคตของเราไว้กับเชฟคนอื่น จากที่ต้องทำทุกอย่างก็ต้องมานั่งเก้าอี้บริหารอย่างเต็มตัว คอยอยู่หลังบ้าน ยกเว้นวันที่ฉุกเฉินจริงๆเราค่อยลงมาเป็นเชฟเอง”
สำหรับผู้ประกอบการหรือ SME ที่สร้างทุกอย่างมาเองกับมือตั้งแต่ 0 เชื่อว่าหลายๆคนไม่กล้าปล่อยให้คนอื่นทำแทน แม้จะเป็นลูกน้องที่เราสอนมาหรือดีแค่ไหน แค่ความรู้สึกของเราคือไม่มั่นใจถ้าไม่ใช่ตัวเอง แต่พอเราหาทีมที่ใช้ใจได้ เก่ง หากเจ้าของมานั่งเก้าอี้บริหารอย่างเต็มตัว ก็จะทำให้เรามีเวลาพัฒนาและหาช่องทางใหม่ๆที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้มากขึ้น
คุณวิน ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า อีกหนึ่งความท้าทายสุดหินของข้าวโซอิ คือตอนที่ไปเปิดร้านสาขาแรกที่กรุงเทพ แน่นอนว่าตอนนั้นเราพอมีประสบการณ์เรื่องการ training พนักงาน รู้วิธีการ hiring the right person แล้ว แต่กลุ่มลูกค้ามันเปลี่ยนไปหมด
อย่างตอนสาขาที่เชียงใหม่ 30% เป็นคนเชียงใหม่, 30% เป็นคนกรุงเทพ, 30% จังหวัดอื่น และ 10% เป็นชาวต่างชาติ แต่พอมาเปิดสาขาแรกที่กรุงเทพมันขาด 30% ที่เป็นคนจังหวัดเชียงใหม่ไป แถมคนที่มากินเขาก็ไม่ได้มาท่องเที่ยวแล้ว
ถามว่าสำคัญอย่างไร ? เพราะเวลาที่เราไปเที่ยวเราจะมีความสุข เพลินเพลินกับทุกอย่างรอบตัว แม้ร้านไหนรอคิวนานก็ถ่ายรูปชิวๆรอได้ แต่พอข้าวโซอิมาเปิดที่สีลม ซึ่งเป็นย่านพนักงานออฟฟิศ ทุกคนมีเวลาจำกัด ทุกคนรีบไม่พร้อมรอ และที่สำคัญคือไม่พร้อมคุยกับพนักงาน
โดยคุณวินเล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังต่อว่า แม้รู้อยู่แล้วอยู่กลุ่มลูกค้าเปลี่ยน พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยน แต่สาเหตุที่เลือกย่านสีลมเนื่องจากความหลากหลายของผู้บริโภค เลยกลายเป็นเสน่ห์
โดยสิ่งเหล่านี้ คุณวินมองว่ามันคือการผสมผสานที่ดีของกลุ่มลูกค้า และมันเป็น data ที่น่าสนใจ โดยหลังจากที่ลองผิดลองถูกมา คุณวินได้เล่าว่า การเก็บ data คือเรื่องที่สำคัญมากๆของผู้ประกอบการ เพราะมันจะทำให้เรารู้ชัดเจนมากขึ้นว่าใครคือกลุ่มลูกค้าหลัก เราต้องโปรโมทหรืออยากจะเจาะกลุ่มลูกค้าคนไหนเป็นพิเศษ และพวกเขามีความชื่นชอบอะไร
นอกจากนี้คุณวินยังได้เผยกับทีม SPOTLIGHT ให้ฟังอีกว่า “คิดว่าน้อยคนที่จะรู้ ว่าเราเคยมาเปิด pop up ที่สยามพารากอนมาก่อน ก่อนที่จะมาบุกตลาดเปิดสาขาจริงจังที่สีลม ซึ่งตอนนั้นอยากลองเทสตลาดดูก่อนว่าหากเรามาเปิดที่กรุงเทพ จะได้รับความสนใจมากแค่ไหน”
คุณวินได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHTฟังว่า “ตนได้พูดตั้งแต่ Day 1 กับทีมงามงานร่วมถึงสัญญากับตัวเองไว้ว่า วันหนึ่งเราจะพาข้าวซอยไทยไปเวทีโลกให้ได้ ซึ่งตอนนั้นได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ใจดีของร้าน Patara Fine Thai Cuisine, Oxford Circus ในวันที่โดนชวนเขาถามแค่ว่าสนใจไหม ? เชื่อไหมผมใช้เวลาแค่ 30 วินาทีในการตอบตกลงทันทีว่าไปครับ หลังจากนั้นเราค่อยมาคิดว่าถ้าจะไปเราต้องเตรียมความพร้อมอะไรบ้าง”
โดยเป็นร้านข้าวโซอิ Pop Up Store ภายในร้านอาหาร Patara ที่มีที่นั่งเพียงแค่ 28 -34 ที่นั่งเท่านั้น แม้เป็นโปรเจกต์เล็กๆแต่ถือว่าเป็นก้าวแรกแห่งความสำเร็จ และการไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ
โดยสิ่งที่คุณวินได้ตกผลึกหลังตอบตกลงคือ คือ
คุณวินได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า การที่ข้าวโซอิไปเปิดที่ลอนดอน ทำให้เราโฟกัสที่ชาวลอนดอน และชาวลอนดอนที่ว่านี่ไม่ได้หมายถึงคนผมดำหรือคนผมบลอน แต่หมายถึงทุกคน ทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ ทุกวัย ที่อาศัยอยู่ลอนดอน
ความท้าทายของการไปเปิดสาขาที่ต่างประเทศโดยเฉพาะที่สหรัฐราชอาณาจักร คือ “ชาวอังกฤษเป็นเมืองแห่ง universal เขาเปิดรับทุกศาสตร์ และทุกศิลป์จริงๆ อะไรมาใหม่เขาพร้อมรับพร้อมลองหมด แต่ในขณะเดียวกันเราต้องแข่งกับทุกศาสตร์และศิลป์ เช่น แข่งกับ Laksa เมนูที่คล้ายกับข้าวซอย, แข่งกับเบอร์เกอร์ ที่เป็นอาหารหลัก อย่างที่อยู่เมืองไทยคนที่กินเบอร์เกอร์กับคนที่กินข้าวซอย มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ที่โน่นไม่”
คุณวินยังได้เล่าให้ฟังต่อว่าด้วยความที่พื้นที่ค่อนข้างจำกัด แต่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างมาก ทำให้คิวที่รอเฉลี่ยประมาณ 1ชั่วโมง 45 นาที บางคนยอมที่จะนั่งรถไฟ 3 ชั่วโมงเพื่อที่จะมาลองกิน ซึ่งข้าวโซอิ ขายได้มากสุดถึง 400 ชาม / วัน (เปิดตั้งแต่เที่ยงตรง – 3 ทุ่ม ไม่มี delivery)
หัวใจสำคัญที่ทำให้ข้าวโซอิที่ลอนดอนกลายเป็นกระแสในโซเชียล คุณวินมองว่ามันคือเรื่องของการส่งสาร หรือการประชาสัมพันธ์ โดยเริ่มแรก เริ่มจากการโพสต์ Facebook กลุ่มคนไทยที่สหรัฐราชอาณาจักร ว่าข้าวซอยมาแล้ว
“ข้อดีคือ ณ ตอนนั้น ข้าวซอยถูกจันอันดับเป็นซุปที่ดีที่สุดของโลก จากเว็บไซต์ Taste Atlas มันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของข้าวซอยอยู่แล้ว ว่าเราสามารถผลักดันมันได้นะ เหมือนมวยไทย คือมันอาจจะไม่ได้ดังเท่าเทควันโดที่มันไปถึงโอลิมปิค แต่มันก็ดังระดับโลกนะ ข้าวซอยอาจจะยังไม่เท่าราเมง กิมจิ พิซซ่า สปาเกตตี้ แต่ข้าวซอย มันก็สู้ได้ ที่สำคัญคือร้านข้าวโซอิที่ไทย มันประสบความสำเร็จขั้นต้นมาแล้ว มาบุกที่ลอนดอนไม่ทำให้คนไทยขายหน้าแน่นอน ดังนั้นช่วยสนับสนุนหน่อยนะครับ”
การส่งสารรอบที่ 2 คือการส่งสารหานักเรียนไทยที่สหรัฐราชอาณจักร โดยจะมีส่วนลดให้นักเรียนทุกๆชาติ ผลตอบรับคือ นักเรียนไทยมาเพื่อนต่างชาติมากินเยอะมาก และทุกคนโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย มันเลยทำให้สารนี้ถูกส่งต่อไปยังเพื่อนๆคนอยู่ที่อยู่ที่ลอนดอน
อย่างไรก็ตาม แม้โปรเจกต์นี้จะเป็นโปรเจกต์สั้นๆและเปิดเพียงแค่ Pop Up Store เท่านั้น แต่คุณวินเชื่อว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีในการสานฝันของตัวเองที่จะพาข้าวซอยไทยไประดับโลก ซึ่งแผนในอนาคตไม่หยุดอยู่แค่นี่แน่นอนแต่จะเป็นเป็นที่ไหนประเทศอะไรก็ต้องติดตามกัน