HSBC เผยรายงาน "ธุรกิจครอบครัวในเอเชีย: ความสอดคล้องในการวางแผนสืบทอดธุรกิจ" พบปัญหาสำคัญของธุรกิจครอบครัวในภูมิภาค
อินเดีย: 79% ตั้งใจส่งต่อให้ครอบครัว (สูงสุด) ฮ่องกง: 44% เท่านั้น (ต่ำสุด) จีน: 56% | ไต้หวัน: 61%
ประเทศที่สนใจขายธุรกิจมากที่สุด:
ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ มีแนวโน้มขายสูงสุด 21%
การขาดแผนสืบทอดไม่เพียงกระทบธุรกิจแต่ละแห่ง แต่ส่งผลต่อเศรษฐกิจภูมิภาคโดยรวม จำเป็นต้องเร่งแก้ไขเพื่อความยั่งยืน
มีมที่ว่า "พ่อสร้าง ลูกใช้ หลานทำพัง" จากซีรีส์ดังอย่าง สงครามส่งด่วน Mad Unicorn กลับกลายเป็นไวรัลดังและเป็นความจริงที่น่าวิตกในภูมิภาคเอเชีย เมื่อรายงานล่าสุดจาก HSBC เอชเอสบีซี โกลบอล ไพรเวท แบงค์กิ้ง เผยให้เห็นภาพความไม่ยั่งยืนของธุรกิจครอบครัว (กงสี) ในเอเชีย ที่ถึงแม้จะมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ แต่กลับขาดการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
รายงานเรื่อง "ธุรกิจครอบครัวในเอเชีย: ความสอดคล้องในการวางแผนสืบทอดธุรกิจ" ชี้ให้เห็นความขัดแย้งที่น่าสนใจ ผู้ประกอบการครอบครัวในเอเชียส่วนใหญ่ต้องการรักษาธุรกิจไว้ในครอบครัว แต่กลับไม่ได้เตรียมแผนการสืบทอดอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นเจ้าของธุรกิจรุ่นที่สองหรือสาม (ลูกและหลาน)
ตัวเลขสะเทือนใจคือ สองในสามของผู้ประกอบการจากจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และไต้หวัน ยังไม่มีแผนการชัดเจนว่าจะบริหารธุรกิจต่อจากรุ่นของตนอย่างไร ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเจ้าของธุรกิจครอบครัวในตลาดฝั่งตะวันตกที่มีการวางแผนอย่างเป็นระบบมากกว่า
การสำรวจครั้งนี้เผยให้เห็นความแตกต่างที่น่าสนใจในแต่ละตลาด อินเดียโดดเด่นด้วยการมีสัดส่วนผู้ประกอบการที่ตั้งใจส่งต่อธุรกิจให้สมาชิกในครอบครัวสูงที่สุดถึง 79% ใกล้เคียงกับสหราชอาณาจักรและสวิตเซอร์แลนด์
ในทางตรงกันข้าม ฮ่องกงมีความตั้งใจในลักษณะเดียวกันเพียง 44% เท่านั้น ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันมี 56% และ 61% ตามลำดับ ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคมที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของแต่ละภูมิภาค
สิ่งที่น่าวิตกมากกว่าคือ เจ้าของธุรกิจครอบครัวในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ มีความสนใจในการขายธุรกิจออกไปเพื่อยุติบทบาทการบริหารมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดอื่นๆ ทั่วโลก โดยมีสัดส่วน 25%, 29%, 27% และ 22% ตามลำดับ
ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มขายกิจการสูงที่สุดถึง 21% ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าห่วงใย เนื่องจากเอเชียครองสัดส่วนเกือบสองในสามของการส่งออกธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก
ประเด็นที่น่าสนใจคือความรู้สึกเรื่องหน้าที่ในการสืบทอดธุรกิจ ผลสำรวจพบว่าเกือบ 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามในจีนแผ่นดินใหญ่รู้สึกว่าตนมีหน้าที่รับผิดชอบในการสืบทอดธุรกิจครอบครัว ในขณะที่อินเดียมีเพียง 7% เท่านั้น
ความแตกต่างนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจว่าทำไมบางภูมิภาคจึงประสบความสำเร็จในการส่งต่อธุรกิจมากกว่า การที่ผู้สืบทอดรู้สึกว่าเป็น "ภาระ" มากกว่า "โอกาส" อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการตัดสินใจขายกิจการในที่สุด
แม้จะมีปัญหาในการวางแผนส่งต่อ แต่ธุรกิจครอบครัวในเอเชียมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเฉพาะในอินเดียที่มีสัดส่วนสูงถึง 79% ของ GDP และจีนแผ่นดินใหญ่ที่ประมาณ 50% ของ GDP การสูญเสียธุรกิจครอบครัวเหล่านี้จึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ
นายล็อค ยิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานโกลบอล ไพรเวท แบงค์กิ้ง ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ธนาคารเอชเอสบีซี ชี้ให้เห็นว่า "เราอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนผ่านกิจการจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง หรือสู่การบริหารจัดการรูปแบบใหม่ โดยมุมมองและพลวัตภายในครอบครัวผู้ก่อตั้งมีอิทธิพลต่อทิศทางของธุรกิจอย่างมาก"
นางอีดิธ อัง หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านธุรกิจครอบครัว เสนอแนะว่า “การเริ่มต้นพูดคุยเรื่องการสืบทอดธุรกิจตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ครอบครัวสามารถสร้างความเข้าใจร่วมกันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเปิดโอกาสให้มีเวลาเรียนรู้และเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านอย่างราบรื่น”
สิ่งสำคัญคือ ทางเลือกไม่ได้จำกัดอยู่ที่การเก็บธุรกิจไว้ในครอบครัวหรือขายกิจการเท่านั้น บางครั้งการผสมผสานระหว่างทั้งสองแนวทางอาจเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด รวมถึงการตั้งสำนักงานครอบครัว (Single Family Office) เพื่อบริหารจัดการความมั่งคั่งอย่างเป็นระบบ
รายงานของ HSBC เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับธุรกิจครอบครัวในเอเชีย การขาดแผนการสืบทอดที่ชัดเจนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความยั่งยืนของธุรกิจแต่ละแห่ง แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคโดยรวม
มีมจากซีรีส์ดังที่ว่า "พ่อสร้าง ลูกใช้ หลานทำพัง" อาจจะไม่เป็นความจริงเสมอไป หากครอบครัวผู้ประกอบการเริ่มให้ความสำคัญกับการวางแผนส่งต่อธุรกิจอย่างจริงจัง การสื่อสารที่เปิดเผย และการเตรียมพร้อมทายาทรุ่นใหม่ให้มีทั้งความรู้ความสามารถและแรงบันดาลใจในการสานต่อมรดกครอบครัว
เวลาที่เหลืออยู่สำหรับการปรับตัวอาจไม่มากนัก แต่หากเริ่มต้นวันนี้ ธุรกิจครอบครัวในเอเชียยังสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวของตนเองได้ จากการเป็นเพียงตัวเลขสถิติของความล้มเหลว สู่การเป็นแบบอย่างของความสำเร็จในการส่งต่อมรดกที่ยั่งยืนต่อไป