ซีรีส์ไทยอย่าง สงครามส่งด่วน (Mad Unicorn) ไม่ได้เล่าแค่เรื่องพัสดุส่งไว หรือสตาร์ทอัปที่โตแบบก้าวกระโดด แต่มันมีบางเรื่องที่คนทำธุรกิจ โดยเฉพาะคนที่เริ่มต้นใหม่ สามารถถอดบทเรียนสำคัญออกมาได้เหมือนกัน
และนี่คือ 3 ประเด็นที่ เจ้าของกิจการ SMEs ทุกคนควรทำความเข้าใจให้ชัด ก่อนจะตัดสินทำธุรกิจกับใครสักคน
อย่าเอาเงินแลกหุ้นโดยไม่เข้าใจโครงสร้างธุรกิจเรา ในโลกของธุรกิจ ถ้าเลือกได้ เราคงอยากทำงานในรูปแบบเจ้าของคนเดียว ควบคุมทุกอย่าง หลายคนเริ่มต้นด้วยหุ้น 100% แต่พอขาดเงินทุน ก็เปิดรับนักลงทุนในรูปแบบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว เพื่อนสนิท มิตรสหาย คนรู้จัก หรือ นักลงทุนต่าง ๆ เข้ามาเพื่อช่วยต่อลมหายใจของธุรกิจ
แต่บางทีลืมคิดไปว่า ทุกเม็ดเงินที่เข้ามา = หุ้นที่ถูกแลกออกไป สัดส่วนความเป็นเจ้าของเมื่อน้อยลงไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งเราก็จะไม่เหลือสิทธิ์ตัดสินใจในบริษัทตัวเอง ดังนั้นต้องคิดให้ดี ถ้าจะต้อง “แลก” ความเป็นเจ้าของกับ “เงิน” ที่เข้ามา รวมถึงการกำหนดโครงสร้างอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องก็ต้องชัดเจนเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น อำนาจในการตัดสินใจ การบริหารจัดการ หรือ การตรวจสอบที่เหมาะสม
อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในการหาเงินหมุนเวียนธุรกิจ คือ การ “กู้ยืม” แทนการ “หุ้น” เพราะการเป็นเจ้าหนี้ย่อมแปลว่าไม่มีส่วนของความเป็นเจ้าของ เพียงแต่เราต้องมองย้อนกลับมาดูที่ธุรกิจเราด้วยว่า มีความสามารถเพียงพอที่จะได้ “สินเชื่อ” หรือเปล่า
ดังนั้น สิ่งที่น่าสนใจในอีกมุมของคนทำธุรกิจก็คือ นอกจาก “เงิน” ที่เข้ามาแล้ว “ธุรกิจ” ของเราก็ต้องสร้างคุณค่าด้วยเช่นกัน เพราะถ้าวันไหนถึงวันที่ต้องระดมทุน หรือ ใช้สินเชื่อ เราต้องทำให้ทั้งนักลงทุน และ เจ้าหนี้ เชื่อได้เหมือนกันว่า ธุรกิจของเราสามารถไปต่อได้จริง ๆ
ถ้าเลือกได้ หลายคนก็อยากทำธุรกิจกับคนที่ไว้ใจ เพราะมันง่ายในการเริ่มต้น และรู้สึกสบายใจ โดยเฉพาะคนที่เป็นเพื่อนกันมานาน หรือครอบครัวที่รู้ใจกันดี เรามักจะคิดว่า “เข้าใจกันแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องทำสัญญาหรือรายละเอียดอะไรให้ซับซ้อนหรอก"
แต่เชื่อไหมครับว่า ความวุ่นวายส่วนใหญ่ในธุรกิจ ไม่ได้เริ่มจากคนไม่รู้จัก แต่มักจะมาจาก "คนที่เคยไว้ใจที่สุด" และสุดท้ายต้องเสียทั้งความสัมพันธ์ และ ธุรกิจ เนื่องจากเส้นที่ขีดนั้นมันไม่ใช่
ดังนั้น สิ่งที่คนทำธุรกิจต้องเข้าใจให้ชัดคือ "มิตรภาพ" กับ "ธุรกิจ" มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ถ้าอยากรักษาทั้งสองไว้ให้ได้ ต้องแยกให้ขาดตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้น
เพราะธุรกิจต้องการ “ความชัดเจน” มากกว่า “ความไว้ใจ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ใครถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์
ใครตัดสินใจเรื่องอะไร ใครดูแลเงิน ใครดูแลลูกค้า ไปจนถึงผลประโยชน์อย่าง เงินเดือน ค่าใช้จ่าย กำไร แบ่งกันยังไง หรือแม้แต่คิดทางออกไว้แต่เนิ่นๆว่า ถ้าใครจะถอนตัว จะออกจากบริษัทด้วยวิธีไหนเพราะ ข้อตกลงที่เขียนไว้อย่างชัดเจน จะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้ยังเคารพกันอยู่ทั้งในฐานะ “เพื่อน” และ “ธุรกิจ” นั่นเองครับ
ถ้าหากคำว่า “คุณค่า” ของธุรกิจในข้อแรก หมายถึง โอกาสที่ทำให้ได้รับ “เงิน” เข้ามา สิ่งที่ใช้วัดผลคุณค่าที่ว่านี้ คือ “ตัวเลขทางการเงิน” ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข “กำไร” หรือ “เงินสด” ที่ต้องวัดออกมาให้ได้ และพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นเรื่องจริง
บางครั้งแล้ว ยอดขายที่เติบโตไม่ใช่คำตอบ ถ้าเงินไม่เหลือพอจะให้ธุรกิจไปต่อได้ในระยะสั้น มีหลายครั้งที่เจ้าของอยากขยายธุรกิจ ซื้อสินทรัพย์ ลงทุน และจัดสรรต่าง ๆ ผ่านการใช้เงินที่มี แต่เบื้องหลังที่เป็นจริง คือ “ไม่รู้ตัวเลขหลังบ้าน” ว่า เงินสดเหลือเท่าไร หนี้สินหมุนยังไง กำไรที่วัดผลได้นั้นมันมาจากอะไรกันแน่
โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่มักเข้าใจผิดกว่า การทำบัญชี และงบการเงินนั้น ไว้สำหรับใช้ “ยื่นภาษี” เพียงอย่างเดียว จนละเลยตัวเลขที่มี และไปวัดผลกันที่การจ่ายภาษีน้อย คือ ความสำเร็จของธุรกิจ แต่ไม่มีข้อมูลให้ตัดสินใจเลยว่า ตอนนี้ธุรกิจไหวมั้ย จะลงทุนเพิ่มได้มั้ย หรือควรหาอะไรมา “เบรก” ก่อนที่ธุรกิจจะพัง
บางคนเลือกจะใช้ “ความรู้สึก” เป็นเครื่องมือในการขยายกิจการ ซึ่งถ้ามาถูกทางก็ไปต่อได้ แต่สุดท้ายการเติบโตที่แท้จริง ต้องผ่านการใช้ข้อมูลทางการเงินให้เป็น และ “มีคนที่เข้าใจ” คอยดูแลด้านนี้ให้คุณแบบจริงจัง อย่างน้อยถ้าวันสุดท้ายธุรกิจพัง จะได้รู้ว่าพังจากอะไร…
สงครามส่งด่วน อาจเป็นแค่ซีรีส์เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เราเห็นในเรื่องเล่านั้น มันมีเรื่องจริงที่คนทำธุรกิจต้องเจอ ดังนั้นอย่าเผลอคิดไปว่าธุรกิจที่ดีนั้น เริ่มต้นแค่แรงบันดาลใจก็เพียงพอ แต่ขอให้คิดว่าจะทำยังไงให้ธุรกิจของเรารอด ทั้งโครงสร้าง การจัดการ และ การเงิน
เพราะบางที เราไม่จำเป็นต้องเป็นยูนิคอร์นที่แข็งแกร่ง แค่เป็นม้าที่มีแรงวิ่งต่อไปได้เรื่อย ๆ ก็อาจจะเพียงพอแล้วก็ได้ครับ
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เจ้าของเพจ TAXBugnoms