Flash Express สตาร์ทอัพโลจิสติกส์ “ยูนิคอร์น” รายแรกของประเทศไทย และแรงบันดาลใจเบื้องหลังซีรีส์ฮิต "สงครามส่งด่วน (Mad Unicorn)" ล่าสุดกลับมาสร้างผลงานโดดเด่นอีกครั้งในปี 2567 ด้วยการพลิกจากภาวะขาดทุนต่อเนื่อง กลับมาทำกำไรได้ถึง 940 ล้านบาท นับเป็นครั้งที่สองที่บริษัทสามารถสร้างผลกำไรได้ หลังจากทำได้ครั้งแรกในปี 2564 แสดงให้เห็นถึงพลังการฟื้นตัวและการปรับตัวของธุรกิจในตลาดที่ยังแข่งขันอย่างเข้มข้น
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจขนส่งด่วนในประเทศไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ โดยผู้ให้บริการรายใหญ่และรายใหม่ต่างใช้งบประมาณจำนวนมากในการทำสงครามราคา เพื่อแย่งชิงปริมาณการจัดส่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดช่วงวิกฤตโควิด-19 แพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง Shopee, Lazada และ JD Central ได้หันมาพัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์ของตนเอง ผ่านการจัดตั้งบริษัทลูกหรือเสริมสร้างระบบขนส่งภายในองค์กร
การแข่งขันดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการขนส่งจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึง Flash Express เอง ซึ่งแม้จะมีรายได้แตะระดับหมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564–2566 แต่ก็ยังขาดทุนในระดับหลายร้อยถึงพันล้านบาท จากภาระต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและแรงกดดันจากราคาขนส่งที่ลดต่ำลง
นับตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการในปี 2560 Flash Express มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในแง่รายได้และขนาดธุรกิจ แต่ต้องเผชิญกับผลขาดทุนสะสมจำนวนมากจากต้นทุนการลงทุนที่สูงและการแข่งขันรุนแรงในอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม ปี 2567 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงจุดเปลี่ยนของบริษัทอย่างชัดเจน โดยสรุปงบการเงินย้อนหลังได้ดังนี้
แม้ภาพรวมทางบัญชีบริษัทจะยังมีมูลค่าทางบัญชีติดลบกว่า 4,903 ล้านบาท แต่ปี 2567 ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สะท้อนถึงศักยภาพการฟื้นตัวของ Flash Express อย่างชัดเจน
Flash Express ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 โดย คมสันต์ ลี ขณะอายุเพียง 26 ปี ท่ามกลางโอกาสที่ยังไม่มีใครลงมืออย่างจริงจังในระบบขนส่งพัสดุแบบ “ถึงหน้าบ้าน” ที่มีประสิทธิภาพ เขาศึกษาระบบโลจิสติกส์จากประเทศจีน ก่อนจะกลับมาตั้งบริษัทด้วยแนวทางที่ฉีกกรอบอุตสาหกรรมไทยในขณะนั้นโดยสิ้นเชิง
Flash เลือกใช้โมเดลควบคุมการดำเนินงานทั้งหมดด้วยตนเอง ไม่พึ่งแฟรนไชส์ ไม่ใช้เอาท์ซอร์ซ และพัฒนาเทคโนโลยีภายในบริษัทอย่างจริงจัง ด้วยงบลงทุนสะสมมากกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อสร้างระบบที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ โดยเน้นการให้บริการที่เร็ว เชื่อถือได้ และยืดหยุ่นต่อความต้องการของลูกค้า
ในช่วงแรก Flash ใช้กลยุทธ์บุกตลาดแบบ “กองโจร” อย่างเต็มที่ จ้างเซลล์กว่า 200 คนไปเจาะตลาดหน้าร้านคู่แข่ง แจกคอมมิชชันสูงถึงวันละ 500 บาทต่อดีล และมอบโปรโมชั่นส่งฟรี 20 ชิ้นแรก โดยไม่หวังผลกำไรทันที จุดมุ่งหมายคือการขยายฐานลูกค้าให้เร็วที่สุดในตลาดที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด
เพื่อเร่งสร้างขนาด (scale) คมสันต์ยอมให้บริษัทขาดทุนในระยะเริ่มต้น โดยมุ่งเน้นการลงทุน 3 ด้านหลัก คือ ทีมพัฒนาเทคโนโลยีมากกว่า 300 คน งบวิจัยพัฒนาเดือนละ 60 ล้านบาท, คลังสินค้าอัตโนมัติ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาทต่อแห่ง และระบบ API เชื่อมต่อกับร้านค้าออนไลน์ เพื่อเพิ่มความเร็วและลดต้นทุนของลูกค้า
ภายในเวลาเพียง 4 ปี ผลลัพธ์ของความกล้าและวิสัยทัศน์ก็เริ่มปรากฏ Flash Express สามารถระดมทุนจากนักลงทุนระดับแนวหน้า อาทิ SCB 10X, eWTP ของ Alibaba, OR, กรุงศรีฟินโนเวต และ Buer Capital Limited และในปี 2564 บริษัทก็ก้าวขึ้นเป็น ยูนิคอร์นรายแรกของประเทศไทย ด้วยมูลค่าประเมินกว่า 30,000 ล้านบาท กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการสตาร์ทอัพไทย
Flash Express เติบโตอย่างรวดเร็วจากความสามารถในการขยายเครือข่ายและการเป็นพันธมิตรหลักกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของประเทศ แต่ในทางกลับกัน โมเดลที่ควบคุมทุกกระบวนการเองนั้นก็มาพร้อมต้นทุนที่สูงมาก โดยเฉพาะในช่วงที่อุตสาหกรรมเผชิญสงครามราคาที่รุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ บริษัทต้องเผชิญภาวะขาดทุนต่อเนื่องจากแรงกดดันด้านราคาและภาระโครงสร้างพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม Flash ไม่หยุดพัฒนา คมสันต์นำพาองค์กรเข้าสู่ “ยุคของระบบและวัฒนธรรม” ด้วยการวางโครงสร้างบริหารที่เข้มงวด สร้างระบบตรวจสอบภายในที่โปร่งใส เสริมความชัดเจนของวัฒนธรรมองค์กร และลงทุนใน AI รวมถึงระบบอัตโนมัติ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระยะยาว
Flash Express จึงไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุ แต่คือธุรกิจไทยที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการโลจิสติกส์บนพื้นฐานของความกล้า ทุนความคิด และความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ต่อข้อจำกัด