เวียดนามกำลังเดินเกมครั้งสำคัญในตลาดทุน ด้วยการเตรียมเปิดตัว “แพลตฟอร์มซื้อขายหุ้นสตาร์ทอัพ” แห่งแรกของประเทศ ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความพยายามของเวียดนามในการผลักดันระบบนิเวศนวัตกรรมให้เป็นหัวใจใหม่ของเศรษฐกิจ และยกระดับเวียดนามจาก “ฐานการผลิต” ไปสู่ “ศูนย์กลางนวัตกรรม” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แผนดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มเครื่องมือทางการเงินเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างนโยบายระดับสูงกับผู้ประกอบการรายย่อย ปัจจุบัน สตาร์ทอัพและบริษัทเทคโนโลยีในเวียดนามจำนวนมากยังต้องพึ่งพาตลาดทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์ ซึ่งเข้าถึงแหล่งเงินได้ง่ายกว่า หากแพลตฟอร์มใหม่นี้เกิดขึ้นจริง จะเปิดทางให้สตาร์ทอัพเวียดนามกว่า 4,000 รายมีพื้นที่ในการเข้าสู่ตลาดทุนภายในประเทศ
Hoang Minh รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเวียดนาม ได้ประกาศแผนนี้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับใช้กฎหมายใหม่ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับมติ 57 ของโปลิตบูโร ที่มุ่งผลักดันเวียดนามไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
ในขณะเดียวกัน กระทรวงกำลังจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาและแนวทางปฏิบัติที่รวมถึง “โครงการตลาดหุ้นสตาร์ทอัพ” ที่มีการถกเถียงกันมานาน โดยคาดว่าจะเสนอต่อรัฐบาลในเดือนตุลาคม
ตามมาตรา 41 ของกฎหมายใหม่ ตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม (Vietnam Stock Exchange: VNX) และบริษัทย่อยจะเปิด “กระดานซื้อขายเฉพาะ” สำหรับสตาร์ทอัพ เพื่อเป็นช่องทางระดมทุนภายในประเทศ โดยผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมจะครอบคลุมตั้งแต่นักลงทุนรายบุคคล กองทุนร่วมลงทุนระดับชาติและจังหวัด กองทุนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของบริษัท กองทุน VC ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนสถาบันการเงิน นักลงทุนสตาร์ทอัพที่ได้รับการรับรอง และวิสาหกิจนวัตกรรม
รัฐบาลจะออกเกณฑ์โดยละเอียดครอบคลุมทั้งเงื่อนไขการเข้าจดทะเบียน กฎการเปิดเผยข้อมูล และมาตรฐานอื่น ๆ ที่สะท้อนถึงความเสี่ยงเฉพาะของสตาร์ทอัพ โดยเน้นให้ความสำคัญกับลักษณะธุรกิจที่อาจยังไม่สามารถทำกำไรในช่วงแรก ทั้งนี้ กระดานดังกล่าวจะไม่ใช่ “ตลาดหุ้นใหม่” แยกออกมา แต่จะอยู่ในรูปแบบ “เซกเมนต์ย่อย” ของตลาดหลักทรัพย์ฮานอยหรือโฮจิมินห์ ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและสร้างกลไกกำกับดูแลที่สอดคล้องกับโครงสร้างตลาดทุนเดิม
หากแผนนี้ประสบความสำเร็จ สตาร์ทอัพเวียดนามจะมีโอกาสเลือกเปิดตัวในตลาดทุนภายในประเทศ ลดการพึ่งพาการจดทะเบียนและระดมทุนในตลาดต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในปัจจุบัน
ปัจจุบัน เวียดนามมีสตาร์ทอัพมากกว่า 4,000 ราย โดยมีธุรกิจ 11 รายที่มีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ และมีเพียง 4 รายที่ก้าวสู่สถานะยูนิคอร์น ได้แก่ VNG, MoMo, VNLife (VNPay) และ Sky Mavis นอกจากนี้ ประเทศยังมีระบบนิเวศสนับสนุนที่ขยายตัวรวดเร็ว เช่น พื้นที่โคเวิร์กกิ้ง 202 แห่ง กองทุนลงทุน 208 กองทุน และองค์กรสนับสนุนธุรกิจ 35 แห่ง ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมและการลงทุน แต่ก็ยังขาดตลาดทุนภายในประเทศที่รองรับสตาร์ทอัพโดยเฉพาะ
Tuan Hiep Pham ผู้อำนวยการด้านการลงทุนของ BK Holdings ระบุว่า แม้โครงสร้างทางกฎหมายของตลาดใหม่นี้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่คาดว่ากระทรวงการคลังจะทำงานร่วมกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แห่งรัฐและ VNX เพื่อวางกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยน่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2025 เขาย้ำว่า “นี่เป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนนโยบายไปสู่การปฏิบัติจริง”
Pham เห็นว่ากระดานซื้อขายเฉพาะสตาร์ทอัพจะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการติดตามกิจการ เพิ่มความโปร่งใส และสร้างสภาพคล่องในตลาดทุน พร้อมทั้งช่วยแก้ปัญหาสำคัญที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนกำลังเผชิญอยู่ คือ การขาดแคลนช่องทาง Exit สำหรับกองทุนร่วมลงทุน ซึ่งปัจจุบันพึ่งพา IPO และ M&A เป็นหลัก แต่ทั้งสองช่องทางกลับชะลอตัวลงอย่างมาก นักลงทุนจำกัดหุ้นส่วน (Limited Partners) จึงหันมาเน้นผลตอบแทนที่จับต้องได้และระมัดระวังต่อการลงทุนใหม่
Trung Hoang หุ้นส่วนของ VinaCapital Ventures เสริมในบทสัมภาษณ์กับ DealStreetAsia ว่า บรรยากาศการลงทุนในปัจจุบันสะท้อนถึงการ “ระมัดระวังและให้ความสำคัญกับผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงมากกว่าที่เคย”
นอกจากนี้ Pham ยังเสนอให้เวียดนามนำบทเรียนจากตลาดพัฒนาแล้ว เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ อิสราเอล และสหรัฐฯ มาปรับใช้ โดยกำหนดเกณฑ์การเข้าตลาดให้สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจและศักยภาพของประเทศ เพื่อสร้างระบบนิเวศการลงทุนที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ในระยะยาว
ปัจจุบัน แม้จะมีการพัฒนา แต่ตลาดหุ้นเวียดนามยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็นช่องทางการระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสำหรับบริษัทเทคโนโลยี สตาร์ทอัพจำนวนมากยังเลือกจัดตั้งนิติบุคคลในต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์ เพื่อให้เข้าถึงทุนได้สะดวกกว่า
Nguyen Ngoc Anh CEO ของ SSI Asset Management เปิดเผยกับสื่อท้องถิ่น CafeF ว่า จากบริษัทกว่า 1,610 รายที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนาม มีเพียง 16 รายที่อยู่ในสาขาเทคโนโลยี และในบรรดาบริษัทใหญ่ที่สุด 30 ราย มีเพียง FPT ที่ทำธุรกิจด้าน IT โทรคมนาคม และการศึกษา ที่เป็นตัวแทนของภาคเทคโนโลยี “ถ้าถามว่ามีบริษัทเทคโนโลยีรายใดที่ทำ IPO ในตลาดหุ้นเวียดนามในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คำตอบคือแทบจะไม่มี” เธอกล่าว พร้อมย้ำว่า แม้ในช่วงที่ IPO บูมระหว่างปี 2017-2019 ก็ยังไม่มีบริษัทเทคโนโลยีรายใดเกิดขึ้น
ด้าน Davide Cali ที่ปรึกษาหลักของศูนย์สนับสนุนสตาร์ทอัพแห่งชาติ มองว่าความพยายามจัดตั้งตลาดใหม่นี้ไม่ใช่การสร้างตลาดหลักทรัพย์ใหม่ แต่เป็น “กระดานย่อย” ภายใต้โครงสร้างที่มีอยู่เดิม ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในตลาดหุ้นโฮจิมินห์หรือฮานอย โดยมีกฎเกณฑ์เฉพาะที่แตกต่างออกไป
ทั้งนี้ ตลาดทุนเวียดนามมี 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ ตลาดหุ้นฮานอย ตลาดหุ้นโฮจิมินห์ และบริษัทโฮลดิ้ง Vietnam Stock Exchange แต่โครงสร้างลักษณะนี้ “มักทำให้เส้นแบ่งระหว่างการกำกับดูแลและการบริหารจัดการไม่ชัดเจน และเพิ่มความซับซ้อนมากกว่าความโปร่งใส”
แม้จะมีความซับซ้อน แต่ Cali กล่าวว่า ช่วงเวลานี้อาจเป็นจังหวะที่เหมาะสม เนื่องจากปริมาณการซื้อขายรายวันในตลาดหุ้นโฮจิมินห์พุ่งเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 20% เมื่อเทียบปีต่อปี และเวียดนามกำลังเข้าใกล้การได้รับการจัดประเภทเป็นตลาดเกิดใหม่ เขาประเมินว่าความตื่นตัวของนักลงทุนอาจผลักดันให้มีเงินทุน 5%-10% ของการซื้อขายในปัจจุบันไหลเข้าสู่ตลาดสตาร์ทอัพ ซึ่งหากแพลตฟอร์มขยายตัวสำเร็จ อาจปลดล็อกมูลค่าได้ถึง 20,000-50,000 ล้านดอลลาร์