ถ้าใครเคยดูซีรีส์ดัง สงครามส่งด่วน บน Netflix ที่เล่าเรื่องราวของการสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพด้านขนส่งจนกลายเป็นยูนิคอร์นรายแรกของไทย คงสังเกตเห็นจุดหนึ่งที่ชัดเจนมาก นั่นคือวัฒนธรรมการทำงานแบบ “ทุ่มสุดตัว” ถึงขั้นที่หนึ่งในคอนฟลิกต์หลักของเรื่องเกิดจากเจ้านายไม่ยอมให้ลูกน้องที่ทำงานทั้งวันทั้งคืนไปเยี่ยมแม่ที่ป่วย
ตลอดทั้งเรื่อง ตัวละครทำงานแทบไม่หลับไม่นอน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียด ระบบการทำงานที่ไม่มีระเบียบ แต่กลับกลายเป็นภาพแทนของวัฒนธรรมสตาร์ทอัพยุคหนึ่ง โดยเฉพาะในจีน ที่ช่วงนั้นนิยมแนวคิดว่าต้อง “ทำให้สุด” เพื่อให้บริษัทโตเร็วที่สุด
วัฒนธรรมแบบนี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “วัฒนธรรม 996” ซึ่งหมายถึงการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์ เป็นรูปแบบที่หลายบริษัทเทคโนโลยีในจีนเคยใช้กันอย่างแพร่หลาย และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วยให้บริษัทโตเร็วจริง จนจีนขึ้นมาเป็นประเทศที่มีบริษัทยูนิคอร์นมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐฯ
แต่แน่นอนว่าความสำเร็จระดับนั้นก็มีต้นทุนมหาศาล ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตของพนักงาน จนช่วงหลังๆ คนรุ่นใหม่ในจีนเริ่มออกมาตั้งคำถาม และหันไปใช้ชีวิตแบบช้าลง ใส่ใจตัวเองมากขึ้น จนเกิดเป็นกระแส “lying flat” หรือ “นอนราบ” ที่กลายเป็นการต่อต้านเงียบต่อวัฒนธรรมทำงานหนักเกินไป
ในบทความนี้ SPOTLIGHT จะพาไปรู้จักกับวัฒนธรรม 996 ให้มากขึ้น ว่ามันคืออะไร ทำไมมันถึงเคยถูกมองว่าเป็นสูตรสำเร็จของสตาร์ทอัพ และเพราะอะไรสิ่งที่ดูเหมือนจะช่วยให้บริษัทโตไว กลับอาจกลายเป็นดาบสองคมในระยะยาว
ในยุคที่จีนเร่งเครื่องสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมการทำงานแบบ “996” ได้กลายเป็นภาพจำของความขยัน ความทุ่มเท และแรงผลักดันสู่ความสำเร็จในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็วและแข่งขันดุเดือด
“996” หมายถึงการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม สัปดาห์ละ 6 วัน รวมกว่า 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเกินกว่าขอบเขตที่กฎหมายแรงงานจีนอนุญาตอย่างชัดเจน ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8 ชั่วโมงต่อวัน และไม่เกิน 44 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พร้อมสิทธิค่าล่วงเวลา แต่ในโลกแห่งความจริง กฎเกณฑ์เหล่านี้แทบไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ที่แรงงานมักต้องทำงานเกินเวลาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล
ยักษ์ใหญ่ของวงการ เช่น Alibaba และ Bytedance ไม่เพียงนำระบบนี้มาใช้ แต่ยังกลายเป็นต้นแบบของการทำงานแบบ "ไม่มีวันหยุด" โดยมีเป้าหมายเพื่อประสิทธิภาพ ความเร็ว และต้นทุนที่ต่ำที่สุด เป็นผลให้พนักงานจำนวนมากต้องแลกความก้าวหน้าในหน้าที่การงานด้วยสุขภาพและชีวิตส่วนตัว
แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง Alibaba เคยกล่าวว่า วัฒนธรรม 996 คือ “พร” สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเติบโต แต่เสียงจากพนักงานจำนวนไม่น้อยกลับสะท้อนอีกด้านหนึ่ง ว่าแท้จริงแล้ว นี่คือระบบที่หล่อหลอมให้คนทำงานจนหมดไฟ โดยที่ผลตอบแทนไม่ได้สะท้อนกับความเสียสละที่ต้องจ่าย
สิ่งที่ทำให้วัฒนธรรมนี้ฝังรากลึกในสังคมจีน ไม่ได้มาจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังโยงกับค่านิยมขงจื๊อที่ปลูกฝังเรื่องการเคารพอำนาจ การเสียสละเพื่อส่วนรวม และความภักดีต่อองค์กร เมื่อทั้งหมดนี้ผสมเข้ากับระบบทุนนิยมที่วัดผลงานเป็นตัวเลข การทำงานหนักจึงกลายเป็นมากกว่าหน้าที่ แต่มันคือเครื่องชี้วัด “คุณค่าของคนทำงาน” ในสายตานายจ้าง
แม้จะทำให้ภาคเทคโนโลยีของจีนเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่วัฒนธรรม 996 ได้กลายเป็นต้นตอของวิกฤตสุขภาพแรงงานในจีน พนักงานจำนวนมากต้องเผชิญกับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงจากการทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นความเครียดเรื้อรัง ปัญหากระดูกและกล้ามเนื้อ การนอนไม่หลับ ไปจนถึงภาวะหัวใจวายและโรคเรื้อรังอื่นๆ
ความไม่พอใจเริ่มปะทุในปี 2019 เมื่อนักพัฒนาโปรแกรมจีนรวมตัวกันเปิดแคมเปญบน GitHub สร้างบัญชีดำบริษัทที่ละเมิดสิทธิแรงงาน พร้อมรณรงค์ให้แบนการใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สโดยบริษัทเหล่านั้น
แต่ในปี 2021 ปฏิกิริยาต่อต้านเริ่มกลายเป็นแรงกระเพื่อมระดับประเทศ เมื่อเกิดกรณีการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการทำงานหนักหลายครั้ง กลายเป็นข่าวในสื่อทั้งภายในและต่างประเทศ และจุดคำถามใหญ่ในสังคมจีนว่า แรงงานต้องแลกความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจด้วยสุขภาพและชีวิตจริงหรือ?
เหตุการณ์สะเทือนใจเกิดขึ้นต่อเนื่องในปีนั้น พนักงานของ Pinduoduo สองรายเสียชีวิตห่างกันเพียงไม่กี่สัปดาห์ รายหนึ่งหมดสติหลังทำโอทีหนัก ขณะเดินทางกลับบ้าน อีกคนจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย ในเดือนเดียวกัน คนขับส่งอาหารรายหนึ่งถึงขั้นจุดไฟเผาตัวเอง หลังถูกปฏิเสธค่าจ้างที่ติดค้างราว 770 ดอลลาร์ ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น คนขับอีกคนก็เสียชีวิตระหว่างทำงาน แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับชั่วโมงการทำงาน แต่ก็เพียงพอจะปลุกกระแสต่อต้านวัฒนธรรม 996 ให้ลุกลาม
บนโลกออนไลน์ พนักงานจำนวนมากออกมาเปิดเผยว่า ตนต้องทำงานมากกว่า 300 ชั่วโมงต่อเดือนหลายเท่าของที่กฎหมายอนุญาต ผู้ใช้ Weibo รายหนึ่งเขียนว่า “ฉันเหนื่อยจนลืมไปแล้วว่าหน้าตาแสงแดดเป็นอย่างไร ขณะที่บริษัทใหญ่ๆ ก็ร่ำรวยขึ้นทุกวัน แบบนี้เรียกว่ายุติธรรมหรือไม่?”
ในที่สุด รัฐบาลจีนจึงต้องออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน โดยศาลประชาชนสูงสุดร่วมกับกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคมได้เผยแพร่แถลงการณ์ร่วมเมื่อไม่นานนี้ สรุปคำพิพากษาคดีแรงงาน 10 คดีที่เกี่ยวข้องกับการบังคับให้ทำงานล่วงเวลาโดยไม่จ่ายค่าตอบแทนอย่างถูกต้อง ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่อุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ ไปจนถึงก่อสร้าง และในทุกคดี ศาลตัดสินให้นายจ้างเป็นฝ่ายแพ้
แถลงการณ์ระบุว่า “ตามกฎหมาย แรงงานมีสิทธิได้รับค่าตอบแทน เวลาพัก และวันหยุดที่เหมาะสม การปฏิบัติตามชั่วโมงการทำงานตามกฎหมายเป็นหน้าที่ของนายจ้าง” พร้อมประกาศเตรียมออกแนวทางเพิ่มเติมเพื่อจัดการข้อพิพาทแรงงานในอนาคต
เพื่อตอบรับต่อการบังคับใช้กฎหมายแรงงานอย่างจริงจัง บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายแห่ง เช่น Vivo, Tencent, Douyin และ Kuaishou ได้เริ่มปรับนโยบายการทำงาน โดยทยอยยกเลิกระบบ “สัปดาห์ใหญ่/สัปดาห์เล็ก” และปรับลดชั่วโมงทำงานให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมายมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมาย และรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรในระยะยาวจากกระแสต่อต้านที่เพิ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่คนอายุน้อย
นอกจากการเปลี่ยนแปลงในระดับองค์กรแล้ว แนวโน้มที่ชัดเจนไม่แพ้กันก็คือท่าทีของแรงงานคนรุ่นใหม่ในจีน ที่เริ่มแสดงออกถึงการปฏิเสธวัฒนธรรมการทำงานแบบ “996” ซึ่งในอดีตเคยถูกยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของความขยัน อดทน และความสำเร็จในสายอาชีพ แต่ในปัจจุบันกลับถูกมองว่าเป็นภาระที่กัดกร่อนสุขภาพกายใจ และขัดแย้งกับแนวคิดเรื่องสมดุลชีวิตที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ
ปัจจุบัน แรงงานรุ่นใหม่ในจีนกำลังหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต ความสมดุลในชีวิต และความหมายส่วนตัว มากกว่าการไล่ตามเป้าหมายที่องค์กรกำหนดไว้ให้ โดยแนวโน้มนี้ไม่ใช่เพียงความรู้สึกส่วนบุคคล แต่กำลังกลายเป็น กระแสวัฒนธรรมใหม่ ที่มีชื่อเฉพาะในสังคมจีน คือ
ทั้งสองคำสะท้อนภาวะ “ถอย” ทางจิตใจของคนรุ่นใหม่ ที่เหนื่อยล้ากับแรงกดดันทางสังคมและแรงงาน โดยไม่ได้ต่อต้านอย่างเปิดเผย แต่ปฏิเสธที่จะเล่นตามกติกาเดิม
เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้เกิดจากอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว แต่มีแรงผลักดันทางเศรษฐกิจร่วมด้วย ราคาบ้านที่พุ่งสูงจนเอื้อมไม่ถึง รายได้ที่แทบไม่ขยับ และการแข่งขันทางการศึกษาที่ไม่จบสิ้น ล้วนทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามว่า "ความพยายามหนักหน่วง" ที่สังคมเรียกร้อง จะนำไปสู่ชีวิตที่ดีจริงหรือ?
หนึ่งในกลุ่มที่สะท้อนกระแสนี้อย่างชัดเจน คือ “คนหนู” (Rat People) หรือ กลุ่มคนหนุ่มสาวที่เลือกอยู่อย่างเงียบ ๆ ในพื้นที่แคบ ๆ ใช้จ่ายประหยัด ปฏิเสธภาพความสำเร็จแบบเดิม และไม่ยึดติดกับความเชื่อที่ว่า "คุณค่าของคนอยู่ที่ความขยัน"
“พ่อแม่ของฉันทำงานหนักทั้งชีวิตเพื่อให้ฉันมีอนาคตที่ดีกว่า” เจ้า หมิง วัย 23 ปี บัณฑิตจากเฉิงเล่า “แต่ตอนนี้พวกเขากลับกังวล เพราะฉันไม่ไล่ตามความสำเร็จแบบเดิมอีกแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการคือชีวิตที่ไม่ทำลายตัวเอง”
คนรุ่นใหม่ของจีนกำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ระบบที่วัดคนจากชั่วโมงการทำงานอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับอนาคตอีกต่อไป
จากกระแสต่อต้านดังกล่าว จากที่เคยถูกยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นในหมู่พนักงานออฟฟิศ โดยเฉพาะในแวดวงเทคโนโลยีของจีนที่มีการแข่งขันสูง วัฒนธรรม “996” กำลังถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวางว่าอาจไม่ใช่ข้อได้เปรียบเชิงองค์กรอย่างที่เคยเชื่อ หากแต่เป็นภาระที่กัดกร่อนศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาว โดยเฉพาะในหมู่บริษัทสตาร์ทอัพ
ผลสำรวจจาก Cheung Kong Graduate School of Business สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติอย่างชัดเจน คนหนุ่มสาวในจีนให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและร่างกายเป็นลำดับแรก ตามด้วยความมั่นคงทางการเงิน และสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่วัฒนธรรม 996 เพิกเฉยมานาน
อีกหนึ่งสัญญาณที่สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง คืออัตราการว่างงานของคนจีนวัย 16–24 ปีในเขตเมืองจีนที่ยังคงสูงถึง 15.8% (ข้อมูลเดือนเมษายน 2025) ไม่เพียงเป็นสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย แต่ยังแสดงถึงความไม่เชื่อมั่นของคนรุ่นใหม่ในระบบการทำงานที่พวกเขาไม่อยากมีส่วนร่วม
ทำให้แม้ 996 อาจเพิ่มผลผลิตในระยะสั้น แต่ผลกระทบระยะยาวต่อองค์กรกลับรุนแรงกว่าที่คิด ได้แก่
หนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน คือ บริษัทฟินเทค Revolut ในยุโรป ซึ่งเคยถูกวิจารณ์อย่างหนักจากการใช้วัฒนธรรมการทำงานที่เข้มข้นคล้าย 996 แสดงให้เห็นผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม พนักงานลาออกเป็นจำนวนมาก บริษัทประสบปัญหาในการขอใบอนุญาตดำเนินงาน และภาพลักษณ์องค์กรได้รับความเสียหาย ซึ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ยั่งยืนไม่เพียงส่งผลต่อพนักงาน แต่ยังทำลายความน่าเชื่อถือและความสามารถในการเติบโตขององค์กรในระยะยาว
ในขณะที่แนวคิด “ฮัสเซิล” (Hustle) ซึ่งเน้นการทำงานหนักสุดขีดคล้ายวัฒนธรรม 996 ของจีน ยังคงฝังรากในหลายองค์กร องค์กรชั้นนำในยุโรปกลับเลือกเดินอีกเส้นทางหนึ่ง นั่นคือการสร้างความยั่งยืนผ่านวัฒนธรรมการทำงานที่เคารพคุณภาพชีวิตของแรงงาน
บริษัทอย่าง Spotify, SAP และ ASML คือกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน พวกเขาไม่ได้มุ่งแต่ผลลัพธ์ทางธุรกิจในระยะสั้น แต่ลงทุนในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมสุขภาวะ ความสมดุล และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่ได้คือความภักดีจากพนักงาน ความสามารถในการดึงดูดบุคลากรคุณภาพ และนวัตกรรมที่ยั่งยืน
เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการยุโรปช่วยตอกย้ำบทเรียนสำคัญนี้
หล่าวโดยสรุปแล้ว วัฒนธรรม 996 จึงไม่ได้เพียงบั่นทอนสุขภาพของแรงงาน แต่ยังค่อย ๆ ทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรอย่างเงียบ ๆ องค์กรที่ยังยึดติดกับแนวคิด "ทำงานหนัก = สำเร็จ" โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนมนุษย์ กำลังเสี่ยงต่อการหลุดจากเกมธุรกิจในยุคที่แรงงานคุณภาพ ความยืดหยุ่น และความยั่งยืนคือกุญแจแห่งความได้เปรียบ
ในเศรษฐกิจที่ทุนมนุษย์คือทรัพยากรหลัก ความล้มเหลวในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน ไม่เพียงนำไปสู่ปัญหาแรงงาน แต่ยังสะเทือนต่อความมั่นคงของธุรกิจในระยะยาว และนั่นคือราคาที่ไม่มีองค์กรใดควรต้องจ่าย
อ้างอิง: MarketWatch, EOS, CNBC, BBC