Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
รู้จัก'996'วัฒนธรรมปั่นงานสไตล์สตาร์ทอัพจีน เร่งบริษัทโตไวแต่กดคนทำงาน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

รู้จัก'996'วัฒนธรรมปั่นงานสไตล์สตาร์ทอัพจีน เร่งบริษัทโตไวแต่กดคนทำงาน

15 มิ.ย. 68
14:33 น.
แชร์

ถ้าใครเคยดูซีรีส์ดัง สงครามส่งด่วน บน Netflix ที่เล่าเรื่องราวของการสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพด้านขนส่งจนกลายเป็นยูนิคอร์นรายแรกของไทย คงสังเกตเห็นจุดหนึ่งที่ชัดเจนมาก นั่นคือวัฒนธรรมการทำงานแบบ “ทุ่มสุดตัว” ถึงขั้นที่หนึ่งในคอนฟลิกต์หลักของเรื่องเกิดจากเจ้านายไม่ยอมให้ลูกน้องที่ทำงานทั้งวันทั้งคืนไปเยี่ยมแม่ที่ป่วย 

ตลอดทั้งเรื่อง ตัวละครทำงานแทบไม่หลับไม่นอน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียด ระบบการทำงานที่ไม่มีระเบียบ แต่กลับกลายเป็นภาพแทนของวัฒนธรรมสตาร์ทอัพยุคหนึ่ง โดยเฉพาะในจีน ที่ช่วงนั้นนิยมแนวคิดว่าต้อง “ทำให้สุด” เพื่อให้บริษัทโตเร็วที่สุด

วัฒนธรรมแบบนี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “วัฒนธรรม 996” ซึ่งหมายถึงการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์ เป็นรูปแบบที่หลายบริษัทเทคโนโลยีในจีนเคยใช้กันอย่างแพร่หลาย และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วยให้บริษัทโตเร็วจริง จนจีนขึ้นมาเป็นประเทศที่มีบริษัทยูนิคอร์นมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐฯ

แต่แน่นอนว่าความสำเร็จระดับนั้นก็มีต้นทุนมหาศาล ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตของพนักงาน จนช่วงหลังๆ คนรุ่นใหม่ในจีนเริ่มออกมาตั้งคำถาม และหันไปใช้ชีวิตแบบช้าลง ใส่ใจตัวเองมากขึ้น จนเกิดเป็นกระแส “lying flat” หรือ “นอนราบ” ที่กลายเป็นการต่อต้านเงียบต่อวัฒนธรรมทำงานหนักเกินไป

ในบทความนี้ SPOTLIGHT จะพาไปรู้จักกับวัฒนธรรม 996 ให้มากขึ้น ว่ามันคืออะไร ทำไมมันถึงเคยถูกมองว่าเป็นสูตรสำเร็จของสตาร์ทอัพ และเพราะอะไรสิ่งที่ดูเหมือนจะช่วยให้บริษัทโตไว กลับอาจกลายเป็นดาบสองคมในระยะยาว

วัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 คืออะไร?

ในยุคที่จีนเร่งเครื่องสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมการทำงานแบบ “996” ได้กลายเป็นภาพจำของความขยัน ความทุ่มเท และแรงผลักดันสู่ความสำเร็จในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็วและแข่งขันดุเดือด

“996” หมายถึงการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม สัปดาห์ละ 6 วัน รวมกว่า 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเกินกว่าขอบเขตที่กฎหมายแรงงานจีนอนุญาตอย่างชัดเจน ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8 ชั่วโมงต่อวัน และไม่เกิน 44 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พร้อมสิทธิค่าล่วงเวลา แต่ในโลกแห่งความจริง กฎเกณฑ์เหล่านี้แทบไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ที่แรงงานมักต้องทำงานเกินเวลาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล

ยักษ์ใหญ่ของวงการ เช่น Alibaba และ Bytedance ไม่เพียงนำระบบนี้มาใช้ แต่ยังกลายเป็นต้นแบบของการทำงานแบบ "ไม่มีวันหยุด" โดยมีเป้าหมายเพื่อประสิทธิภาพ ความเร็ว และต้นทุนที่ต่ำที่สุด เป็นผลให้พนักงานจำนวนมากต้องแลกความก้าวหน้าในหน้าที่การงานด้วยสุขภาพและชีวิตส่วนตัว

แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง Alibaba เคยกล่าวว่า วัฒนธรรม 996 คือ “พร” สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเติบโต แต่เสียงจากพนักงานจำนวนไม่น้อยกลับสะท้อนอีกด้านหนึ่ง ว่าแท้จริงแล้ว นี่คือระบบที่หล่อหลอมให้คนทำงานจนหมดไฟ โดยที่ผลตอบแทนไม่ได้สะท้อนกับความเสียสละที่ต้องจ่าย

สิ่งที่ทำให้วัฒนธรรมนี้ฝังรากลึกในสังคมจีน ไม่ได้มาจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังโยงกับค่านิยมขงจื๊อที่ปลูกฝังเรื่องการเคารพอำนาจ การเสียสละเพื่อส่วนรวม และความภักดีต่อองค์กร เมื่อทั้งหมดนี้ผสมเข้ากับระบบทุนนิยมที่วัดผลงานเป็นตัวเลข การทำงานหนักจึงกลายเป็นมากกว่าหน้าที่ แต่มันคือเครื่องชี้วัด “คุณค่าของคนทำงาน” ในสายตานายจ้าง

996 ทำลายชีวิตพนักงาน ลามไปถึงการออกกฎหมาย

แม้จะทำให้ภาคเทคโนโลยีของจีนเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่วัฒนธรรม 996 ได้กลายเป็นต้นตอของวิกฤตสุขภาพแรงงานในจีน พนักงานจำนวนมากต้องเผชิญกับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงจากการทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นความเครียดเรื้อรัง ปัญหากระดูกและกล้ามเนื้อ การนอนไม่หลับ ไปจนถึงภาวะหัวใจวายและโรคเรื้อรังอื่นๆ

ความไม่พอใจเริ่มปะทุในปี 2019 เมื่อนักพัฒนาโปรแกรมจีนรวมตัวกันเปิดแคมเปญบน GitHub สร้างบัญชีดำบริษัทที่ละเมิดสิทธิแรงงาน พร้อมรณรงค์ให้แบนการใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สโดยบริษัทเหล่านั้น

แต่ในปี 2021 ปฏิกิริยาต่อต้านเริ่มกลายเป็นแรงกระเพื่อมระดับประเทศ เมื่อเกิดกรณีการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการทำงานหนักหลายครั้ง กลายเป็นข่าวในสื่อทั้งภายในและต่างประเทศ และจุดคำถามใหญ่ในสังคมจีนว่า แรงงานต้องแลกความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจด้วยสุขภาพและชีวิตจริงหรือ?

เหตุการณ์สะเทือนใจเกิดขึ้นต่อเนื่องในปีนั้น พนักงานของ Pinduoduo สองรายเสียชีวิตห่างกันเพียงไม่กี่สัปดาห์ รายหนึ่งหมดสติหลังทำโอทีหนัก ขณะเดินทางกลับบ้าน อีกคนจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย ในเดือนเดียวกัน คนขับส่งอาหารรายหนึ่งถึงขั้นจุดไฟเผาตัวเอง หลังถูกปฏิเสธค่าจ้างที่ติดค้างราว 770 ดอลลาร์ ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น คนขับอีกคนก็เสียชีวิตระหว่างทำงาน แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับชั่วโมงการทำงาน แต่ก็เพียงพอจะปลุกกระแสต่อต้านวัฒนธรรม 996 ให้ลุกลาม

บนโลกออนไลน์ พนักงานจำนวนมากออกมาเปิดเผยว่า ตนต้องทำงานมากกว่า 300 ชั่วโมงต่อเดือนหลายเท่าของที่กฎหมายอนุญาต ผู้ใช้ Weibo รายหนึ่งเขียนว่า “ฉันเหนื่อยจนลืมไปแล้วว่าหน้าตาแสงแดดเป็นอย่างไร ขณะที่บริษัทใหญ่ๆ ก็ร่ำรวยขึ้นทุกวัน แบบนี้เรียกว่ายุติธรรมหรือไม่?”

ในที่สุด รัฐบาลจีนจึงต้องออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน โดยศาลประชาชนสูงสุดร่วมกับกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคมได้เผยแพร่แถลงการณ์ร่วมเมื่อไม่นานนี้ สรุปคำพิพากษาคดีแรงงาน 10 คดีที่เกี่ยวข้องกับการบังคับให้ทำงานล่วงเวลาโดยไม่จ่ายค่าตอบแทนอย่างถูกต้อง ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่อุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ ไปจนถึงก่อสร้าง และในทุกคดี ศาลตัดสินให้นายจ้างเป็นฝ่ายแพ้

แถลงการณ์ระบุว่า “ตามกฎหมาย แรงงานมีสิทธิได้รับค่าตอบแทน เวลาพัก และวันหยุดที่เหมาะสม การปฏิบัติตามชั่วโมงการทำงานตามกฎหมายเป็นหน้าที่ของนายจ้าง” พร้อมประกาศเตรียมออกแนวทางเพิ่มเติมเพื่อจัดการข้อพิพาทแรงงานในอนาคต

เพื่อตอบรับต่อการบังคับใช้กฎหมายแรงงานอย่างจริงจัง บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายแห่ง เช่น Vivo, Tencent, Douyin และ Kuaishou ได้เริ่มปรับนโยบายการทำงาน โดยทยอยยกเลิกระบบ “สัปดาห์ใหญ่/สัปดาห์เล็ก” และปรับลดชั่วโมงทำงานให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมายมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมาย และรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรในระยะยาวจากกระแสต่อต้านที่เพิ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่คนอายุน้อย

คนรุ่นใหม่กับการถอนตัวจากวัฒนธรรม “996”

นอกจากการเปลี่ยนแปลงในระดับองค์กรแล้ว แนวโน้มที่ชัดเจนไม่แพ้กันก็คือท่าทีของแรงงานคนรุ่นใหม่ในจีน ที่เริ่มแสดงออกถึงการปฏิเสธวัฒนธรรมการทำงานแบบ “996” ซึ่งในอดีตเคยถูกยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของความขยัน อดทน และความสำเร็จในสายอาชีพ แต่ในปัจจุบันกลับถูกมองว่าเป็นภาระที่กัดกร่อนสุขภาพกายใจ และขัดแย้งกับแนวคิดเรื่องสมดุลชีวิตที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ

ปัจจุบัน แรงงานรุ่นใหม่ในจีนกำลังหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต ความสมดุลในชีวิต และความหมายส่วนตัว มากกว่าการไล่ตามเป้าหมายที่องค์กรกำหนดไว้ให้ โดยแนวโน้มนี้ไม่ใช่เพียงความรู้สึกส่วนบุคคล แต่กำลังกลายเป็น กระแสวัฒนธรรมใหม่ ที่มีชื่อเฉพาะในสังคมจีน คือ

  • Tang Ping (躺平) หรือ “นอนราบ” สื่อถึงการเลือกใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่แข่งขัน
  • Bai Lan (摆烂) หรือ “ปล่อยให้เน่า” เป็นการยอมแพ้อย่างมีสติ ต่อระบบที่เอาเปรียบและไม่มีทางออก

ทั้งสองคำสะท้อนภาวะ “ถอย” ทางจิตใจของคนรุ่นใหม่ ที่เหนื่อยล้ากับแรงกดดันทางสังคมและแรงงาน โดยไม่ได้ต่อต้านอย่างเปิดเผย แต่ปฏิเสธที่จะเล่นตามกติกาเดิม

เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้เกิดจากอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว แต่มีแรงผลักดันทางเศรษฐกิจร่วมด้วย ราคาบ้านที่พุ่งสูงจนเอื้อมไม่ถึง รายได้ที่แทบไม่ขยับ และการแข่งขันทางการศึกษาที่ไม่จบสิ้น ล้วนทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามว่า "ความพยายามหนักหน่วง" ที่สังคมเรียกร้อง จะนำไปสู่ชีวิตที่ดีจริงหรือ?

หนึ่งในกลุ่มที่สะท้อนกระแสนี้อย่างชัดเจน คือ “คนหนู” (Rat People) หรือ กลุ่มคนหนุ่มสาวที่เลือกอยู่อย่างเงียบ ๆ ในพื้นที่แคบ ๆ ใช้จ่ายประหยัด ปฏิเสธภาพความสำเร็จแบบเดิม และไม่ยึดติดกับความเชื่อที่ว่า "คุณค่าของคนอยู่ที่ความขยัน"

“พ่อแม่ของฉันทำงานหนักทั้งชีวิตเพื่อให้ฉันมีอนาคตที่ดีกว่า” เจ้า หมิง วัย 23 ปี บัณฑิตจากเฉิงเล่า “แต่ตอนนี้พวกเขากลับกังวล เพราะฉันไม่ไล่ตามความสำเร็จแบบเดิมอีกแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการคือชีวิตที่ไม่ทำลายตัวเอง”

คนรุ่นใหม่ของจีนกำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ระบบที่วัดคนจากชั่วโมงการทำงานอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับอนาคตอีกต่อไป

996: วัฒนธรรมทำงานที่บั่นทอนแรงงาน และสร้างความเสี่ยงเรื้อรังต่อองค์กร

จากกระแสต่อต้านดังกล่าว จากที่เคยถูกยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นในหมู่พนักงานออฟฟิศ โดยเฉพาะในแวดวงเทคโนโลยีของจีนที่มีการแข่งขันสูง วัฒนธรรม “996” กำลังถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวางว่าอาจไม่ใช่ข้อได้เปรียบเชิงองค์กรอย่างที่เคยเชื่อ หากแต่เป็นภาระที่กัดกร่อนศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาว โดยเฉพาะในหมู่บริษัทสตาร์ทอัพ

ผลสำรวจจาก Cheung Kong Graduate School of Business สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติอย่างชัดเจน คนหนุ่มสาวในจีนให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและร่างกายเป็นลำดับแรก ตามด้วยความมั่นคงทางการเงิน และสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่วัฒนธรรม 996 เพิกเฉยมานาน

อีกหนึ่งสัญญาณที่สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง คืออัตราการว่างงานของคนจีนวัย 16–24 ปีในเขตเมืองจีนที่ยังคงสูงถึง 15.8% (ข้อมูลเดือนเมษายน 2025) ไม่เพียงเป็นสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย แต่ยังแสดงถึงความไม่เชื่อมั่นของคนรุ่นใหม่ในระบบการทำงานที่พวกเขาไม่อยากมีส่วนร่วม

ทำให้แม้ 996 อาจเพิ่มผลผลิตในระยะสั้น แต่ผลกระทบระยะยาวต่อองค์กรกลับรุนแรงกว่าที่คิด ได้แก่

  • อาการ Burnout สะสม: การทำงานเกินเวลาต่อเนื่องส่งผลเสียทั้งต่อสุขภาพจิตและร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงต่อการลาออกอย่างถาวร
  • ความภักดีที่ลดลง: พนักงานเริ่มรู้สึกว่าบริษัทไม่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตน ความรู้สึกนี้กัดกร่อนแรงจูงใจในระยะยาว
  • การสูญเสียคนเก่ง: แรงงานคุณภาพ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เริ่มหันไปหาสภาพแวดล้อมที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากกว่าความทนทาน หากองค์กรไม่ปรับตัว อาจกลายเป็นแค่ “เวทีฝึกงาน” สำหรับบุคลากรที่จะย้ายออกไปเติบโตที่อื่น

หนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน คือ บริษัทฟินเทค Revolut ในยุโรป ซึ่งเคยถูกวิจารณ์อย่างหนักจากการใช้วัฒนธรรมการทำงานที่เข้มข้นคล้าย 996 แสดงให้เห็นผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม พนักงานลาออกเป็นจำนวนมาก บริษัทประสบปัญหาในการขอใบอนุญาตดำเนินงาน และภาพลักษณ์องค์กรได้รับความเสียหาย ซึ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ยั่งยืนไม่เพียงส่งผลต่อพนักงาน แต่ยังทำลายความน่าเชื่อถือและความสามารถในการเติบโตขององค์กรในระยะยาว

บทเรียนจากยุโรป: การเติบโตต้องมากับความยั่งยืน

ในขณะที่แนวคิด “ฮัสเซิล” (Hustle) ซึ่งเน้นการทำงานหนักสุดขีดคล้ายวัฒนธรรม 996 ของจีน ยังคงฝังรากในหลายองค์กร องค์กรชั้นนำในยุโรปกลับเลือกเดินอีกเส้นทางหนึ่ง นั่นคือการสร้างความยั่งยืนผ่านวัฒนธรรมการทำงานที่เคารพคุณภาพชีวิตของแรงงาน

บริษัทอย่าง Spotify, SAP และ ASML คือกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน พวกเขาไม่ได้มุ่งแต่ผลลัพธ์ทางธุรกิจในระยะสั้น แต่ลงทุนในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมสุขภาวะ ความสมดุล และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่ได้คือความภักดีจากพนักงาน ความสามารถในการดึงดูดบุคลากรคุณภาพ และนวัตกรรมที่ยั่งยืน

เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการยุโรปช่วยตอกย้ำบทเรียนสำคัญนี้

  • Noa Khamallah จาก Don’t Quit Ventures กล่าวว่า “เราไม่จำเป็นต้องมี 996” พร้อมชี้ว่าความได้เปรียบทางการแข่งขันที่แท้จริง มาจากการให้คุณค่ากับคุณภาพชีวิตของแรงงาน ไม่ใช่จากการเร่งเค้นประสิทธิภาพจนเกินขีดจำกัด
  • Jas Schembri-Stothart, ผู้ก่อตั้งแอป Luna กล่าวว่า “ฉันหวังว่าคู่แข่งของฉันจะใช้ 996 เพราะนั่นหมายความว่าคนเก่งที่ทนไม่ไหวจะมาร่วมทีมฉันแทน” มุมมองนี้สะท้อนความเข้าใจลึกซึ้งว่า วัฒนธรรมที่เป็นพิษคือจุดอ่อน ไม่ใช่ข้อได้เปรียบ
  • Dama Sathianathan จาก Bethnal Green Ventures สรุปไว้ว่า “ถ้างานไม่มีความหมาย ต่อให้ทำหนักแค่ไหนก็ไม่มีทางชนะในระยะยาว” เพราะในท้ายที่สุด แรงจูงใจ ความผูกพัน และความรู้สึกเป็นเจ้าของคืองานที่ไม่สามารถ “เร่ง” ได้ด้วยชั่วโมงทำงานเพียงอย่างเดียว

สรุป: วัฒนธรรมองค์กรคือกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่เรื่องภายใน

หล่าวโดยสรุปแล้ว วัฒนธรรม 996 จึงไม่ได้เพียงบั่นทอนสุขภาพของแรงงาน แต่ยังค่อย ๆ ทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรอย่างเงียบ ๆ องค์กรที่ยังยึดติดกับแนวคิด "ทำงานหนัก = สำเร็จ" โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนมนุษย์ กำลังเสี่ยงต่อการหลุดจากเกมธุรกิจในยุคที่แรงงานคุณภาพ ความยืดหยุ่น และความยั่งยืนคือกุญแจแห่งความได้เปรียบ

ในเศรษฐกิจที่ทุนมนุษย์คือทรัพยากรหลัก ความล้มเหลวในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน ไม่เพียงนำไปสู่ปัญหาแรงงาน แต่ยังสะเทือนต่อความมั่นคงของธุรกิจในระยะยาว และนั่นคือราคาที่ไม่มีองค์กรใดควรต้องจ่าย


อ้างอิง: MarketWatch, EOS, CNBC, BBC

แชร์
รู้จัก'996'วัฒนธรรมปั่นงานสไตล์สตาร์ทอัพจีน เร่งบริษัทโตไวแต่กดคนทำงาน