หากพูดถึงชื่อผัดไทยในดวงใจ เชื่อว่าชื่อของ ‘ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี’ คงจะติดอันดับแบรนด์ในใจเบอร์ต้นๆที่เรานึกถึงแน่นอน ด้วยรสชาติสุดเข้มข้น เส้นเหนียวหนุบผัดกับซอสที่หวานจากตัวมันกุ้งหอมกลิ่นกระทะ ที่เป็นสูตรลับที่ถ่ายทอดกันมาเกือบหนึ่งศตวรรษจากรุ่นสู่รุ่น จนกลายเป็น ‘ร้านผัดไทยในตำนาน’
แม้เริ่มแรก ‘ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี’ จะเริ่มต้นจากร้านอาหารริมทางในย่านเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ใกล้กับวัดสระเกศราชวรมหาวิหารและวัดเทพธิดารามวรวิหาร แต่คนแถวนั้นมักเรียกติดปากกันว่า ‘ย่านประตูผี’ นั่นก็เลยกลายเป็นว่า คนเรียกร้านผัดไทยย่านนี้ว่า ‘ผัดไทยประตูผี’
ความฮิตของ ‘ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี’ ไม่ได้หายไปตามกาลเวลา แต่กลับสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย เพราะนี่คือจุด check in ของนักท่องเที่ยวเมื่อมาเยือนประเทศไทย ถึงขนาดที่ว่าเชฟชื่อดังระดับโลกอย่าง ‘กอร์ดอน แรมซีย์’ ยังเคยได้อัดคลิปตัวเองกิน ‘ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี’ เมื่อมาไทยช่วงต้นปีที่ผ่านมา
มาถึงวันนี้ร้านผัดไทยได้ถูกเปลี่ยนมือมาสู่ทายาทรุ่นที่ 3 ซึ่งเราได้เห็นอะไรใหม่ๆขึ้นนอกเหนือจากเมนูผัดไทยที่ฮิตติดลมบนอยู่แล้ว ‘ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี’ จะมีอะไรน่าสนใจ ? บทความนี้ ทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาสพูดคุยสุด exclusive กับทายาท Gen 3 ดร.ศีขรเชษฐ์ ใบสมุทร และ รศ.พญ.ธัญนันท์ ใบสมุทร กับภารกิจยกระดับอาหารริมทาง พาผัดไทยสู่เมนูครัวโลก พร้อมเปิดตัวสินค้ากว่า 27 รายการ ในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025
หากใครเคยกิน ‘ผัดไทย’ ที่ต่างประเทศเชื่อว่าเราน่าจะต้องเคยกินผัดไทยที่ใส่ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นมะเขือเทศ พริกหยวก หัวหอม ซึ่งนี่ไม่ใช่ผัดไทยแท้ๆที่เราพูดถึง
ดร.ศีขรเชษฐ์ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า “เป้าหมายของ ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี คือต้องการให้ผัดไทย เป็นรสชาติที่ไทยแท้จากต้นตำรับ Authentic Thai Taste ไม่ใช่ผัดไทยกลายพันธุ์ ที่ใส่มะเขือเทศ หัวหอม เราอยากปลุกจิตสำนึกให้ชาวต่างชาติเข้าใจวัฒนธรรมไทยให้มากขึ้น เพราะนอกเหนือจากที่ประเทศไทยเป็น land of smile แล้ว เราก็เป็น land of food อาหารไทย คือ soft power”
นอกจากนี้ วัตถุดิบทุกอย่างที่ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผีได้คัดสรรมา ก็เลือกมาแต่ของดีมีคุณภาพ เพื่ออยากให้คนไทยได้รับประทานของดีๆ
โดยปกติแล้วสัดส่วนลูกค้าไทยและต่างชาติ จะเยอะน้อยตาม season การท่องเที่ยว เช่นช่วง high season มีลูกค้าต่างชาติประมาณ 70% และลูกค้าชาวไทย 30% และลูกค้าต่างชาติที่เป็นลูกค้ากลุ่มหลักของทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี คือ ลูกค้าชาวเกาหลีใต้ ลูกค้าญี่ปุ่น
ภายในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี ได้มีการเปิดตัว ‘แบรนด์ไทย’ ซึ่งเป็นอีกแบรนด์ลูกของทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี ซึ่งจะมีการขายอาหารไทยที่หลากหลาย ราคาเริ่มต้นเพียง 60 บาท ตั้งแต่กระเพรา ข้าวผัด ยำ ขนมไทยโบราณ ไปจนถึงอาหารทานเล่น ครอบคลุมกลุ่ม Ready Meal, Ready to Eat และ Ready to Cook โดยสามารถแช่เข็งและเก็บได้นานถึง 6 เดือน ซึ่งรสชาติจะไม่ผิดเพี้ยน อร่อยเหมือนทำใหม่ๆ เมนูเด็ดเด่นๆไม่ว่าจะเป็น
โดยรศ.พญ.ธัญนันท์ ได้เล่าว่า จุดเริ่มต้นของ ‘แบรนด์ไทย’ คือเริ่มจากการทำอาหารให้ลูกน้องในร้านรับประทาน แม้เราจะขายผัดไทย แต่กินผัดไทยทุกวันก็เบื่อ เลยได้มีการทำเมนูอื่นๆเพื่อรับประทานกันหลังทำงานเสร็จ เช่นเดียวกันกับช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี กลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อหด เลยคิดว่าอยากสร้างแบรนด์ไทยขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์เรื่องราคา แต่ในขณะเดียวกันผู้บริโภคยังคงมั่นในในเรื่องคุณภาพได้ การันตีด้วยแบรนด์ทิพย์สมัย
และมั่นใจว่า ‘แบรนด์ไทย’ แม้ออกมาจำหน่าย ก็จะไม่เป็นการทับไลน์สินค้า หรือว่าแย่งลูกค้ากับ ‘ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี’ เนื่องจากสินค้าที่แตกต่างกัน มิหนำซ้ำยังช่วยเสริมพอร์ทให้มีความหลากหลายตอบกลุ่มและโดนใจลูกค้ามากขึ้นอีกด้วย
แม้ว่าปัจจุบัน ‘ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี’ จะมีทั้งหมด 5 สาขาในประเทศไทย ได้แก่
แต่อย่างไรก็ตาม แต่ละร้านค้ามีเวลาเปิด-ปิด นั่นทำให้ลูกค้าที่อยากทานในเวลานั้นๆ อาจจะไม่ได้ทาน เลยทำให้ทางแบรนด์ได้มีการคิดค้น ทำผัดไทยให้คนที่อยากทาน จะทานเวลาไหนก็ได้ และแน่นอนว่ารสชาติเหมือนต้นตำหรับ นั้นจึงเป็นที่มาของ แบรนด์ “ทิพย์สมัย”ผลิตภัณฑ์ กลุ่มกึ่งสำเร็จรูปและชุดพร้อมปรุง ไม่ว่าจะเป็น
โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของทิพย์สมัยจะวางจำหน่ายที่ ร้านทิพย์สมัยทุกสาขา, ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ, และมีการส่งออกไปยัง เกาหลี, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์ และ สหรัฐอเมริกา พร้อมกันนี้ ยังมีแผนขยายการส่งออกไปยังทั่วโลก ทั้งในภูมิภาค เอเชีย, ออสเตรเลีย, ยุโรป, และ ตะวันออกกลาง เพื่อส่งมอบรสชาติอาหารไทยต้นตำรับให้เข้าถึงผู้บริโภคในทุกมุมโลกอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ รศ.พญ.ธัญนันท์ ยังได้กล่าวย้ำว่า “เราอาจเป็นน้องใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป แต่เรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมทางด้านอาหาร รวมถึงความเชี่ยวชาญในรสชาติที่พิสูจน์มาแล้วจากคนทั่วโลก ผัดไทยคือ Soft Power ที่ส่งต่อเรื่องราวความเป็นไทยได้อย่างทรงพลัง”