หากใครที่เป็นวัยรุ่นเด็กสยาม เชื่อว่าคุณน่าจะต้องเคยกินร้านใดร้านหนึ่งของ ‘รวยไม่หยุด กรุ๊ป’ เป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็น ปิ้งย่างเกาหลี nice to Meat u ชานมไข่มุก Fire Tiger คาเฟ่ขนมปังสไตล์เกาหลี Mil Toast House หรือว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือ อย่าง เกศเตี๋ยว
นี่เป็นเพียงไม่กี่แบรนด์ที่ส่องภาพอาณาจักร ‘รวยไม่หยุด กรุ๊ป’ ซึ่งใน 10 ปีที่ผ่านมารวยไม่หยุด ได้เปิดแบรนด์มากกว่า 10 เเบรนด์ โดยความน่าสนใจอยู่ตรงที่ทุกแบรนด์ได้ปักหมุดทำเลใจกลางสยามจนได้ฉายาว่าเป็นเครือ ‘เจ้าแม่สยาม’ ปีนี้พร้อมเปิดพร้อมอีก 8 แบรนด์ ที่ครองใจทุก GEN
แม้ว่าการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อะไรที่ทำให้รวยไม่หยุดกรุ๊ปประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะผ่านมรสุมชีวิตเจ๊งมากถึง 7 ธุรกิจ แต่วันนี้กลับกวาดรายได้กว่า 800 ล้านบาทในปี 2566 ที่ผ่านมา
บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมารู้จักอาณาจักร ‘รวยไม่หยุด’ เจ้าแม่สยาม ปีนี้พร้อมพา 18 แบรนด์ครองใจทุก GEN โดยทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาสพูดคุยสุด exclusive กับคุณเกศและคุณแนท เจ้าของอาณาจักรรวยไม่หยุดกรุ๊ป
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ในยุคที่ปิ้งย่างเกาหลียังไม่ใช่อาหารที่หาทานทั่วไปในเมืองไทย นี่คือ ช่องว่างทางการตลาดที่ 2 เพื่อนซี้ คุณเกศ-คุณแนทได้เห็น จึงได้ทำการร่วมหุ้น ซื้อแฟรนไชส์ปิ้งย่างจากเกาหลีอย่าง “ nice to Meat u” มาบุกเมืองไทยปักหมุดใจกลางสยามสแควร์ซอย 3
ด้วยเอกลักษณ์ของปิ้งย่างเกาหลีแต่มีความเป็นไทย การตกแต่งร้านที่สะดุดตา และการบริการที่ดี ทำให้ถูกปากผู้บริโภคและเกิดกระแสความฮิตในชั่วค่ำคืน
หลังจากนั้น เครือรวยไม่หยุด ก็ได้ขยับขยายพอร์ทซื้อแฟรนไชส์จากเกาหลีมาอีกหลายแห่ง เช่น “Mil Toast House” คาเฟ่ขนมปังชื่อดังของเกาหลี “Dosan Dalmatian” บรันช์คาเฟ่ “EBOMB” แซนวิชเกาหลีเครื่องล้น
และยังได้ปั้นแบรนด์ของตัวเอง จนได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ไม่ว่าจะเป็นชานมไข่มุกชื่อดัง ที่ได้สร้างปรากฏการณ์รอคิวยาวเหยียด แปลกใหม่ด้วยการรับเครื่องดื่มจากปากเสือ อย่าง “Fire Tiger” และล่าสุดคือปรากฎการณ์ก๋วยเตี๋ยวเรือกลางสยาม ขวัญใจวัยรุ่น นั้นก็คือ “เกศเตี๋ยว” ซึ่งจากความนิยมทำให้เกศเตี๋ยวสามารถสร้างยอดขายรวมกว่า 30 ล้านบาท เพียงไม่กี่เดือนในการเปิดตัว ซึ่งเป็นมูลค่าที่สามารถคืนทุนได้ภายใน 3 เดือน
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ เเบรนด์ร้านอาหารในเครือรวยไม่หยุดเป็นการขยายพอร์ทเเบบผสมทั้งซื้อแฟรนไชส์มาเเละปั้นเเบรนด์เองโดยคุณเกศ ได้เเชร์มุมมองว่า "การตัดสินใจว่าเราจะซื้อจะจะปั้นเเบรนด์เองก็ต้องดูจากความพร้อมด้านความรู้เเละตลาด เเบรนด์ที่ซื้อแฟรนไชส์มาจึงเป็นเเบรนด์ที่เรายังไม่รู้ลึกในเรื่องนั้น เลยอยากได้ know-how ธุรกิจนั้นๆ รวมถึงระบบหลังบ้านที่เป็นมืออาชีพ"
ทำให้ปัจจุบันเครือรวยไม่หยุดกรุ๊ป มีร้านในเครือถึง 10 แบรนด์
อย่างที่เรารู้กันว่าตอนนี้จากกระแสความไวของโลกยุคปัจจุบัน ด้วยพลังของโซเชียลมีเดีย แม้ว่าธุรกิจทำเป็นที่จะต้องพึงการตลาดที่อิงกระแส แต่ก็ต้องยอมรับตามตรงว่ากระแส หรือเทรนด์ นั้นช่างเปลี่ยนไปไวเหลือเกิน
และคำว่า Fast Fashion แต่ก่อนเราคงได้ยินจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้า แต่ตอนนี้คำว่า Fast Fashion มันกำลังลุกลามไปถึงอุตสาหกรรมร้านอาหารแล้ว
คุณเกศและคุณแนท ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า “ตอนนี้ Life Cycle ของร้านอาหารมันสั้นลงมาก อย่างตอนนี้อยู่ได้ 6 เดือน -1 ปีก็เก่งแล้ว” และจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ชื่นชอบไปประเทศเกาหลีใต้อยู่บ่อยๆกลับทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยตาของตัว “ถ้าคนที่ไปเกาหลีบ่อยๆ จะรู้เลยว่าร้านอาหารเป็น Fast Fashion บางทีเราไปทุกเดือน โลเคชั่นเดิม แต่ปรากฎณ์ว่าทุกครั้งที่ไปก็จะเจอแต่ร้านหน้าใหม่ๆ ร้านเก่าๆเริ่มหายไป เลยคิดว่าโมเดลนั้นมันเริ่มเกิดขึ้นที่ประเทศไทยแล้ว”
เมื่อเทรนด์เปลี่ยน พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ‘คนเบื่อหน่ายอะไรเดิมๆ’ ธุรกิจที่อยู่รอดในยุคปัจจุบันคือคนที่ต้องยอมรับในการเปลี่ยนแปลง
คุณแนท ได้เล่าว่า “ตอนนี้คนเบื่อเร็ว หากเราขยายสาขาด้วยแบรนด์เดิมๆผู้บริโภคเดินห้างก็จะรู้สึกเบื่อ และคิดว่ากินวันไหนก็ได้ หรือกินที่ไหนก็ได้ และมีความคิดว่าวันนี้ลองไปกินร้านอื่นก่อนดีกว่า”
นั้นก็เลยทำให้อาณาจักรรวยไม่หยุดกรุ๊ป จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ จากปั้นแบรนด์ให้ติดตลาด เร่งขยายสาขา เพื่อเจาะกลุ่ม Medium – High มาสู่การขยันเร่งเปิดแบรนด์ใหม่ เร่งสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้แก่ลูกค้า เจาะกลุ่มลูกค้าแมส ด้วยเมนูที่กินได้ทุกวันในราคาสบายกระเป๋า ด้วย 4 มิติ นั้นก็คือ บริการที่ดี, รสชาติอร่อย, คุณภาพ และร้านเก๋ถ่ายรูปสวย
นั้นทำให้จากความฝันจากการเป็น No.1 เครือร้านอาหารเกาหลี กลายไปสู่ No.1 ร้านอาหารเอเชียน
คุณเกศ ได้อธิบายว่า “หลายๆคนอาจจะเห็นว่าเครือรวยไม่หยุดกรุ๊ป ขยันเปิดแบรนด์ใหม่ๆเรื่อยๆ เพราะตอนนี้เรากำลังค้นหาตัวเองอยู่ เหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่กำลังเติบโต ตอนเด็กๆเราก็คิดว่าในอนาคตฉันอยากจะเป็นแบบนี้ พอโตขึ้นอีกหน่อยก็เปลี่ยนความฝัน”
คุณเกศ ได้เล่าว่า สิ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจคือการรอให้เป็น เพื่อจับจังหวะที่ถูกต้อง “อย่าง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทุกคนอาจจะเห็นว่ารวยไม่หยุด เราไม่เปิดแบรนด์ใหม่ ไม่ค่อยขยายสาขาเพิ่ม หรือเรียกง่ายๆว่าเราเงียบมากในตลาด แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่ทำอะไร ยังคงคิดโปรเจกต์ใหม่ตลอดเวลา แต่ในระหว่างที่เรารอเราค่อยๆทดลองตลาด พร้อมกับดูท่าทีของเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจช่วงโควิดคือตัวหลอก แต่หลังโควิดคือของจริง”
หากลองสังเกต nice to Meat u และ Happy Pig เจ้าของร้านคือคนเดียวกัน และขายอาหารประเภทเดียวกัน นั้นก็คือปิ้งย่าง เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะเกิดความสงสัยว่าทำไมเจ้าของถึงเลือกเปิดอาหารสไตล์เดียวกัน แถมบ้างห้างร้านยังอยู่ติดกันอีกด้วย ไม่กลัวว่าจะแย่งลูกค้ากันหรืออย่างไร ?
แต่เชื่อหรือไม่ ว่านี่คือ ‘การทดลองตลาดที่คิดมาแล้ว’ ร้าน nice to Meat u จะเป็นร้านปิ้งย่างเกาหลีสไตล์พรีเมียม มัดใจลูกค้าด้วยคุณภาพและการบริการอย่างดีเยี่ยม ซึ่งแน่นอนว่าราคานั้นก็ค่อนข้างแพง ส่วน Happy Pig ก็เป็นร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี จุดเด่นคือราคาเข้าถึงง่าย มีเป็นเซตเมนูง่ายๆ เอาใจน้องๆนักเรียนและวัยรุ่น
นี่คือบททดลองแรกเรื่องราคา หากมีร้านอาหารสไตล์เดียวกัน คุณภาพใกล้เคียง บริการอาจจะไม่เท่า แต่ราคาถูกมากกว่า ผู้บริโภคจะเลือกแบบไหน?
การทดลองตลาดครั้งที่ 2 คือ ‘การทดลองตลาดร้านอาหารไทย’ เพราะต้องยอมรับว่าเครือรวยไม่หยุดตอนแรกมักจะมีแต่ร้านอาหารสไตล์เกาหลี ‘เกศเตี๋ยว’ จึงเป็นเหมือนการทดลองครั้งที่ 2 ที่เครือรวยไม่หยุดจะออกจาก comfort zone ของตัวเอง ว่าหากจับประเภทอาหารไทย จะรอดหรือไม่ ?
แต่เชื่อหรือไม่กลายมาเป็นว่า เกศเตี๋ยว ได้สร้างปรากฎการณ์ถล่มทลาย ด้วยรสชาติจัดจ้าน ราคาที่เข้าถึงง่าย เริ่มต้น 9-600 บาท จนสามารถสร้างยอดขายรวมกว่า 30 ล้านบาทเพียงไม่กี่เดือนในการเปิดตัว ซึ่งเป็นมูลค่าที่สามารถคืนทุนได้ภายใน 3 เดือน และวันที่ยอดขายเยอะที่สุดขายได้ 567 บิล
จากการทดลองในเรื่องของ ‘ราคา’ และ ‘ประเภทของอาหาร’ แสดงให้เห็นแล้วว่า รวยไม่หยุดกรุ๊ป มาถูกทางและสามารถสร้างแบรนด์อื่นๆที่ต่อยอดได้ นั้นก็เลยเป็นที่มาของการเปิดร้านอาหารเพิ่มอีก 8 แบรนด์ในปีนี้ แบ่งเป็น
และอีก 2 แบรนด์ที่ยังคงเป็น พรีเมียมปิ้งย่างเกาหลี นั้นก็คือ
รวยไม่หยุดกรุ๊ป หากเปิดแบรนด์ครบในปีนี้ จะทำให้มีแบรนด์ในเครือมากถึง 18 แบรนด์ แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ ทุกแบรนด์ล้วนแล้วแต่ต้องมีจุดเริ่มต้นร้านแรกที่สาขาสยาม
คุณเกศ ได้เล่าว่า สาเหตุที่เราเลือกเปิดร้านที่สยาม เนื่องจากสยามเป็นใจกลางเมือง หรือเป็น Heart of Bangkok มีคนกลุ่มหลากหลายมาเดินกันอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น วัยเด็ก วัยรุ่น คู่รัก คนทำงาน คนมา shopping หรือแม้แต่กลุ่มผู้ใหญ่ และด้วยคาแรคเตอร์ของแบรนด์รวยไม่หยุด ที่ล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์วัยรุ่น นั้นก็เลยทำให้สยามกลายเป็นมาทำเลหลักที่เหมาะที่สุดแล้วของเครือรวยไม่หยุด
“สยามไม่เหมือนเดิม” นี่คือคำพูดของคุณเกศ ที่ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟัง “ตอนนี้กลุ่มคนได้เปลี่ยนไปมาก คนที่มาเดินก็วัยอายุน้อยลงเรื่อยๆ มีนักท่องเที่ยวมากขึ้น การที่แบรนด์เรามาเปิดที่สยามมันเป็นเหมือนความผูกผัน และความภูมิใจที่เป็นหนึ่งในฟันเฟื่องเล็กๆที่ทำให้สยามคึกคักขึ้น และมีความต้องใจอยากช่วยพัฒนาให้ย่านสยามสแควร์เป็น World Food Destination ครองใจกลุ่มลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติ”
แต่ที่บอกว่าเจ้าแม่สยาม ไม่ได้เพียงแค่แบรนด์ของเครือรวยไม่หยุด แต่เป็นแบรนด์ที่ล้วนแล้วแต่เป็นพี่-น้องของคุณเกศและคุณแนทอีกด้วย
Yuzu Group ของคุณมิน-ปรมินทร์ เปรื่องเมธางกูร เจ้าของร้าน Yuzu Suki, Yuzu Sushi Delivery (Cloud Kitchen), Yuzu Ramen, Yuzu Omakase, Yuzu Honey, Yuzu Curry,Thai Thai Boat Noodles, Chicken Club, Kogoro, เนื้อนาบุญ, Duri Buri และ KORATA โค-ร-ต
นั้นเป็นน้องชายแท้ๆคุณเกศ-ชุติมา เปรื่องเมธางกูร ประธานบริหาร บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด และแน่นอนว่าทำเลหลักของ Yuzu Group ก็คือสยามเช่นเดียวกัน
‘นับเงินกรุ๊ป’ ของคุณก้อง-ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์ เจ้าของร้าน KiKi Beauty Space ซาลอนระดับลักชัวรี สยามสแควร์ซอย 3 และร้าน KOKO ร้านอาหารไทย
นั้นเป็นพี่ชายเเท้ๆของคุณแนท-นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด
ปี 2564
รายได้ 295,055,726
กำไร 6,441,899
ปี 2565
รายได้ 558,140,197
กำไร 42,746,713
ปี 2566
รายได้ 545,436,227
กำไร 33,515,900
ปี 2564
รายได้ 113,799,658
กำไร 4,556,438
ปี 2565
รายได้ 145,955,696
กำไร 8,313,373
ปี 2566
รายได้ 167,178,555
กำไร 10,617,481
ปี 2564
รายได้ 14,680,925
ขาดทุน -2,354,662
ปี 2565
รายได้ 74,176,360
กำไร 10,425,239
ปี 2566
รายได้ 156,080,306
กำไร 15,822,476
อ้างอิง : Creden Data