ถอดกลยุทธ์ Xiaomi ทำไม ทำอะไรก็สำเร็จไปหมด แถมราคาหุ้นยัง 5 เด้ง

Xiaomi เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 หรือเมื่อ 15 ปีที่แล้ว แต่ในเวลาแค่ 15 ปีนี้ Xiaomi กลับออกสินค้ามาแล้วถึง 639 อย่าง

เท่ากับว่าทุก ๆ 1 ปี Xiaomi จะมีสินค้าออกใหม่ 43 อย่าง ที่น่าสนใจก็คือสินค้าหลายอย่างของ Xiaomi ดูแล้วแทบจะไปด้วยกันไม่ได้เลย แต่กลับขายได้

ตั้งแต่ โทรศัพท์มือถือ เครื่องฟอกอากาศ มาจนถึงสินค้าล่าสุดอย่าง รถยนต์ไฟฟ้า

แล้ว Xiaomi มีกลยุทธ์อะไร ? ทำไมถึงผลิตสินค้าที่ดูไม่เกี่ยวกันเลยออกมา แล้วยังขายได้ ลองมาดูกัน

1. ไม่ทำเองทั้งหมด แต่ให้คนอื่นทำแทน

รู้ไหมว่าสินค้าอื่นที่ไม่ใช่มือถือ Xiaomi ไม่ได้เป็นคนทำเอง แต่ใช้วิธีพาร์ตเนอร์กับบริษัทที่ทำได้ดีอยู่แล้ว แล้วแปะแบรนด์ตัวเองลงไปบนสินค้า

คำถามคือ แล้วทำไมบริษัทเหล่านี้ถึงยอมให้ Xiaomi ทำแบบนั้น ?

คำตอบก็คือ Xiaomi ไม่ได้จ้างผลิตเฉย ๆ แต่จะแบ่งทรัพยากรที่ตัวเองมี อย่างเช่น ช่องทางจัดจำหน่าย หรือ ดิไซน์เนอร์ออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้กับพาร์ตเนอร์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือร่วมพัฒนาด้วยกัน

ซึ่งสินค้าที่ออกมาก็จะมีคุณภาพ มีดิไซน์ที่คุมโทน ตามคอนเซปต์ของแบรนด์ Xiaomi

2. สินค้าที่ออกมาต้องเชื่อมโยงกัน

รู้ไหมว่า คุณ Lei Jun ซีอีโอของบริษัท Xiaomi เป็นแฟนคลับของคุณ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple บริษัทที่มีมูลค่ามากสุดในโลกตอนนี้

ซึ่งสิ่งที่คุณ Jun เอามาปรับใช้นอกจากเรื่องการออกแบบสมาร์ตโฟนแล้ว อีกเรื่องก็คือการสร้างระบบนิเวศน์

เคยสังเกตไหมว่า ทำไมเวลาที่เราซื้อสินค้าของ Apple อย่างหนึ่งแล้วเราต้องซื้ออีกอย่างไปด้วย

สาเหตุก็เป็นเพราะว่า Apple สร้างระบบนิเวศน์ขึ้นมา ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Switching Cost หรือต้นทุนการเปลี่ยนย้าย

สินค้าและบริการของ Apple ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, iCloud จะถูกเชื่อมต่อกันได้ทั้งหมด เป็นระบบนิเวศน์ ทำให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นได้ยาก

ยกตัวอย่างก็เช่น ถ้าเราสมัคร iCloud เอาไว้ แล้วเราอยากจะเปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์ระบบ Android ก็จำเป็นต้องย้ายข้อมูล ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก

โดย Xiaomi ทำสิ่งนี้เหมือนกัน ผ่านการออกแบบให้สินค้าที่ออกมาเชื่อมต่อกันได้และทั้งหมดนี้ควบคุมได้ในแอปพลิเคชัน Xiaomi Home

3. ขายและทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์

ย้อนกลับไป ตอนที่ Xiaomi เปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่มีราคาถูกเหลือเชื่ออย่าง Mi 1 ที่มีราคาเพียง 10,000 บาท เทียบกับ iPhone 4 ที่มีราคาถึง 26,000 บาท

แต่ถึงจะตั้งราคาไม่สูง Xiaomi ก็ยังทำกำไรได้ตั้งแต่วันนั้น สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะว่า บริษัทไม่ได้ใช้งบอัดโฆษณาเหมือนกับบริษัทอื่น ๆ

แต่ใช้วิธีสร้างกลุ่มขึ้นมาผ่านช่องทางออนไลน์ ให้ผู้บริโภคพูดคุยกัน โดยที่ Xiaomi จะคอยเข้าไปดู Feedback และเอามาใช้ปรับปรุงอยู่เสมอ

ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสิ่งที่สื่อสารออกไปถูกรับฟัง ส่วน Xiaomi ก็จะได้ฟีดแบคที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองตรงใจผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากนั้น Xiaomi ยังไม่มีหน้าร้าน และขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ล้วน 100% เลยทำให้ไม่ต้องแบกต้นทุน ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ และ พนักงาน โดยไม่จำเป็น เลยทำให้บริษัทมีกำไรและพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ต่อไปได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าเงินจะหมดมือ

4. ขายของจำกัด หมดแล้วหมดเลย

ในยุคแรกที่ Xiaomi เปิดตัวสมาร์ตโฟนใหม่ ๆ Xiaomi ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า Flash Sales หรือการขายสินค้าในจำนวนจำกัด ตามช่วงเวลาที่กำหนด แบบที่เราเห็นกันตามแอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซในวันนี้

ในตอนนั้น เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ และกลยุทธ์นี้ทำให้คนที่สนใจซื้อสินค้าของ Xiaomi รีบเข้ามาซื้อสินค้าตามช่วงเวลา เพราะกลัวจะไม่ได้ของ

อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงเห็นแล้วว่า Xiaomi สำเร็จได้ จากหลายองค์ประกอบที่รวมเข้าด้วยกัน

เรื่องแรกก็คือ ถ้าอยากขยายตลาดที่ไม่เชี่ยวชาญ ก็ให้คนที่เชี่ยวชาญทำแทน แล้วคอยสนับสนุนช่วยเหลือในด้านอื่น อย่างเช่น ช่องทางจัดจำหน่าย

เรื่องที่สองก็คือ การสร้างระบบนิเวศน์ให้คนใช้งานใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ตามไปด้วย ทำให้เปลี่ยนใจได้ยาก

ไปจนถึงการขายผ่านช่องทางออนไลน์ และใช้กลยุทธ์แปลกใหม่อย่าง Flash Sales ที่ทำให้ธุรกิจสมาร์ตโฟนของ Xiaomi เติบโตขึ้นมาได้ จนขยายไปธุรกิจอื่นได้นั่นเอง

มาวันนี้ Xiaomi กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีจากจีน ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด มีกำไรปีละ

รายได้ กำไร 3 ปีล่าสุดของ Xiaomi

-ปี 2022 รายได้ 1,276,000 ล้านบาท กำไร 11,270 ล้านบาท

-ปี 2023 รายได้ 1,235,000 ล้านบาท กำไร 79,600 ล้านบาท

-ปี 2024 รายได้ 1,667,000 ล้านบาท กำไร 107,800 ล้านบาท

ซึ่งผลประกอบการที่สวยหรูตรงนี้ ได้ทำให้ราคาหุ้นขึ้นมาเกือบ 5 เด้ง ในเวลา 5 ปีที่ผ่านมา

ที่มา: mi.com, youtube.com