เพิ่งจะเป็นข่าวให้ตกใจกันไปไม่นานนี้ว่า Netflix จะห้ามการ "เปิด(ปาร์)ตี้สายหาร" หรือการห้ามแชร์พาสเวิร์ดนอกบ้าน ทำเอาสายหารทั่วไทยใจคอไม่ดีว่า จะหมดยุค 4k เดือนละ 100 บาท แล้วจริงๆ หรือ?
ล่าสุด เน็ตฟลิกซ์ ได้ยืนยันอีกครั้งแล้วว่าจะ "เอาจริง" จัดการเรื่องการหารพาสเวิร์ดทั่วโลก เพราะถือเป็นหนึ่งใน "ปัญหาใหญ่" ที่ทำให้บริษัททั้งสูญรายได้เป็นหลักพันล้านเหรียญ แถมยังเกิดปัญหาใหญ่สดๆ ร้อนๆ นั่นก็คือ "ยอดสมัครสมาชิกลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี" !
ทีมข่าว SPOTLIGHT ถอดเนื้อหาหลักๆ 4 ข้อ จากผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ พร้อมประเด็นใหญ่เรื่อง Password-sharing มาให้ดังนี้
- แนวโน้มไม่ค่อยดีนัก ยอดสมัครสมาชิก (Subscriber) ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี จากตัวเลขสิ้นปี 2021 ที่ 221.84 ล้านคน ล่าสุด ยอดสมาชิกสิ้นไตรมาส 1 ปีนี้ (มี.ค. 2022) ลดลง 2 แสนคน
- "รัสเซีย" เป็นหนึ่งในผลกระทบสำคัญ เพราะ netflix ร่วมคว่ำบาตรต่อต้านสงครามด้วยการระงับธุรกิจในรัสเซีย ทำให้ยอดสมาชิกรัสเซียหายไปถึง 7 แสนคน (แต่ถ้าไม่เกิดสงคราม ไม่ถอนตลาดจากรัสเซีย คาดว่าจะได้ยอดเพิ่ม 5 แสน แทน)
- ยอดลดลง 2 แสนยังไม่ใช่จุดต่ำสุด เพราะบริษัทคาดการณ์ว่า ยอดสมาชิกจะลดลงอีก "2 ล้านคน" ในไตรมาส 2 ปีนี้
- ข่าวดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นของ Netflix ดิ่งลงทันที 25% รวมแล้วปีนี้หุ้นดิ่งลงไปแล้ว 40%
- ตามที่ระบุไปข้างต้นว่า การแชร์พาร์สเวิร์ด เป็นเหตุผลหลักข้อ 2 ที่ Netflix ระบุว่าทำให้ยอดสมาชิกและรายได้ลดลง
- ยิ่งไปกว่านั้น NAGRA ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการพัฒนามาตรฐานทีวีดิจิทัล ประเมินว่า ธุรกิจหารพาสเวิร์ด ทำให้ Netflix สูญเงินที่ควรจะเป็นค่าสมาชิกเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยวไปถึงกว่า 6,250 ล้านดอลลาร์/ปี (กว่า 2 แสนล้านบาท) เพราะเป็นการตัดราคาขนานใหญ่ จาก 19.99 ดอลลาร์/เดือน (พรีเมียม) แต่หากหารพาสเวิร์ด ก็จะดูเน็ตฟลิกซ์ได้ในราคาเพียงแต่เดือนละ 1 ดอลลาร์ เท่านั้น
- เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา Netflix เริ่มทดลองแก้เกมด้วยแพ็กเกจราคาใหม่ในบางประเทศ เช่น ชิลี เปรู และ คอสตาริกา โดยเสนอราคาพ่วงสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน ที่คนละ 2 ดอลลาร์/เดือน ซึ่งหากได้ผลดี ก็อาจนำโมเดลนี้ไปปรับใช้ทั่วโลกตามมา โดยเป็นที่คาดว่าอาจนำโมเดลนี้มาปรับใช้ทั่วโลกในปีหน้า 2023
- นอกจากปิดช่องการแชร์พาสเวิร์ดแล้ว Netflix ยังได้ทุ่มงบพัฒนาคอนเทนต์ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจให้ปังกว่าเดิมด้วย สะท้อนได้จากผลตอบรับบางเรื่องที่ดีขึ้นในไตรมาส 1 เช่น Bridgeton ภาค 2 ที่มียอดการชมถึง 627 ล้านชั่วโมง และนับเป็นซีรีส์ภาษาอังกฤษที่ทำสถิติได้สูงที่สุดในขณะนี้ ส่วนสารคดีเรื่อง Tinder Swindler ที่หยิบยกตัวอย่างการหลอกสาวโดยอ้างเป็นเศรษฐีคริปโท ก็เป็นการเกาะกระแสคริปโทเคอร์เรนซีได้อย่างรวดเร็ว จนมียอดผู้ชมถึง 166 ล้านชั่วโมง ซึ่งเป็นสถิติสูงที่สุดเช่นกันในกลุ่มหนังสารคดี