"สิทธิพล"อภิปรายนโยบายรัฐบาลอนุทิน"โจทย์ใหญ่เศรษฐกิจไทยวันนี้คือการเร่งช่วยเหลือ, เยียวยา ผู้ประกอบการรายย่อย-เกษตรกร ให้รอดพ้นจากผลกระทบสงครามการค้า"
วันที่ 29 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาโดยคณะรัฐมนตรี สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร่วมอภิปรายประเด็นสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และเกษตรกรที่ได้รับกระทบรุนแรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา สกัดปัญหาการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า ป้องกันการทุ่มตลาด
สิทธิพลระบุว่า โจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยวันนี้ คือสงครามการค้า ต้องเตรียมรับมือภาษีใหม่ของสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกว่าภาษีทรัมป์ โดยเฉพาะผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายเล็ก รายน้อย หรือที่เรียกว่า SME โดยได้ตั้งคำถามผ่านประธาน ไปยังรัฐบาล คือ รัฐบาลเข้าใจปัญหาจริงหรือไม่ ทราบหรือไม่ ทำไมที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่สำเร็จภาพรวม 3 ด้าน ดังนี้ 1) ไทยจะส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยลง 2) ไทยจะส่งออกไปทั่วโลก ทั้งจีน และประเทศอื่นๆ ลดลงเพราะเศรษฐกิจโลกถดถอย การกีดกันระหว่างกันเพิ่มขึ้น และ 3) ผลกระทบโดยตรงของไทยคือสินค้านำเข้าจะทะลักเพิ่มขึ้น ทั้งจากสหรัฐฯ ที่ไทยต้องเปิดตลาด และจากประเทศอื่นที่ต้องหนีตายจากตลาดสหรัฐฯ เช่น สินค้าจีน ที่เเต่เดิมทะลักเข้าไทยมากอยู่แล้ว ก็จะทะลักมากขึ้น รวมถึงสินค้าทุกประเทศ ที่ต้องหาตลาดใหม่ๆ ก็จะไหลเข้าสู่ไทยมากขึ้น
ที่ผ่านมา เราอาจเป็นห่วงกลุ่มผู้ส่งออกเป็นพิเศษ การที่ไทยถูกเก็บภาษี ที่ 19% ไม่ต่างจากประเทศคู่แข่งมากนัก ผลกระทบในมิติตลาดสหรัฐฯ ยังไม่น่ากังวล เท่าผลกระทบข้อ 2 และข้อ 3 ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME ในฐานะห่วงโซ่ Supply Chain โลก กำลังจะได้รับผลกระทบ 2 ฝั่ง คือ ขาส่งออก ส่งออกไปทั่วโลกยากขึ้น ขณะที่ขานำเข้า ก็ถูกสินค้าต่างชาติ เข้ามาแข่งในประเทศเยอะขึ้น แรงอัดก็อปปี้ทั้งสองฝั่งนี้ คือโจทย์สำคัญของรัฐบาลนายกฯอนุทิน ว่าจะพา SME ผ่านพ้นไปได้อย่างไร
สิทธิพล กล่าวต่อไปว่า แบงก์ชาติประเมินว่า มี SME เสี่ยงได้รับผลกระทบ จากภาษีทรัมป์มากกว่า 3 ล้านกิจการ เกี่ยวข้องกับการจ้างงานมากกว่า 12 ล้านคน นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ทุกธุรกิจคือห่วงโซ่ใน Supply Chain ทุกคนในห่วงโซ่การผลิตได้รับผลกระทบหมด ยิ่งถ้ามาดูสถานการณ์ SME ไทย วันนี้พบว่าลำบากมาก ทั้งจากเศรษฐกิจไม่ดี ค้าขายยาก รายได้หด ต้องกู้หนี้ ยืมสิน จนวันนี้ หนี้เสียของ SME ทะลุ สูงกว่าช่วงโควิดไปแล้ว เลวร้ายสุดคือเมื่อพึ่งในระบบไม่ได้ ก็ต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบ ซึ่งเสี่ยงสร้างปัญหาระยะยาวให้ SME หนักขึ้น
ในระยะสั้นรัฐบาลต้องแก้ปัญหาให้ SME จากผลกระทบของภาษีทรัมป์ให้ได้ อย่างน้อย 3 เรื่อง
1) ปัญหาสินค้าสวมสิทธิ หรือ Transshipment สหรัฐ ขึ้นภาษีหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยสหรัฐฯมีแนวโน้มเก็บภาษีสองอัตรา สินค้าไหน ไม่สวมสิทธิ คิดอัตราถูก / สินค้าไหนสวมสิทธิ คิดอัตราแพง ตัวอย่างที่โดนไปแล้ว คือ แผงโซลาร์เซลล์ ที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษี CVD หรือ “ภาษีตอบโต้การอุดหนุน” แผงโซลาร์จากไทย สูงถึง 300 กว่าเปอเซ็นต์ บางรายโดนเก็บมากถึง 900 เปอร์เซ็นต์ เขาไม่ได้เก็บเพราะเราอุดหนุน เขาเก็บเพราะบอกรัฐบาลจีนอุดหนุน เรียกว่ารัฐบาลประเทศอื่นอุดหนุน แต่ตามมาเก็บภาษีที่บ้านเราด้วย แถมไม่ได้เลือกเก็บบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เก็บทุกบริษัท
ส่วนประเด็น Transhipment ส่วนมากมาจากคนประเทศอื่น ทุนประเทศอื่นมาสวมสิทธิสินค้าประเทศเรา เพื่อจะได้ขึ้นชื่อว่ามาจากไทยแลนด์ ได้ภาษีต่ำ ต้องเริ่มตรวจสินค้าสวมสิทธิ คือเริ่มตรวจจากนอมินีก่อนเลย โดยรายชื่อ 10 บริษัทที่ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ส่งออกไปสหรัฐฯ มากสุด เกือบทั้งหมด เป็นทุนต่างชาติแทบทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ เป็นสัญชาติจีน มีบริษัทสัญชาติไทยก็จริง แต่น่าสงสัยว่าจะเป็นนอมินี คำถามก็คือ ไทยไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะสินค้าไม่ได้ผลิตที่ไทย เจ้าของไม่ใช่คนไทย แทบไม่มีการจ้างงาน และยังเป็นข้ออ้างให้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีไทย จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐบาลนายกอนุทินต้องแก้ปัญหา Transshipment จริงจัง
เบื้องต้นสหรัฐ กำหนดภาษี Transshipment ที่ 40% สูงกว่าสินค้าอื่นที่จะเก็บแค่ 19% ปัญหา Transshipment กำลังสร้างความไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการ เพราะสหรัฐฯ เก็บภาษีไทยมากขึ้น โดยไทยไม่ได้ประโยชน์ใดๆ โดยประเด็น Transshipment แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือพวกที่ตั้งใจสวมสิทธิ ตั้งใจโกง และพวกที่ไม่ได้ตั้งใจ
พวกที่ตั้งใจโกง ควรไปจัดการกับพวกนอมินีกับพวกปลอมหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดให้ได้ ส่วนผู้ประกอบการไทยดีๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจโกง แต่เห็นว่าวัตถุดิบที่ใดถูกก็ซื้อมาใช้ ต้องช่วยเขา ไม่ให้โดนภาษี 40%
ประเด็นเรื่องการจัดการบริษัทนอมินี มีปัญหาเจ้าหน้าที่ที่ไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องนอมินี ส่วนกลางที่อยู่ในกรม มีแค่ 9 คน ระดับจังหวัด มีพาณิชย์จังหวัด จังหวัดละ 1-2 คน ไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง และกระบวนการล่าช้า ขั้นต่ำต้องใช้เวลาตรวจสอบถึง 2 เดือน หลายเรื่องผ่านมาเกือบปี ยังตรวจสอบไม่เสร็จเลย ท่านจะจัดการปัญหานี้อย่างไร
สิทธิพล พูดถึงการอภิปรายก่อนหน้านี้ว่าเคยอภิปรายประเด็นที่ประชาชนส่งเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบหมู่บ้านหรู ที่ต่างชาติถือครองเกือบทั้งหมู่บ้าน โดยได้ส่งข้อมูลไปให้ตรวจสอบ 42 หลัง เจอเข้าข่ายนอมินี 37 หลัง ตอนนี้ส่งเรื่องต่อให้ บก.ปอศ. ดำเนินการหมด ส่งไปตรวจ 42 หลังแต่เจอ 37 หลัง ที่ยังไม่ตรวจอีก
ส่วนเรื่องหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดปลอม ปัจจุบันกรมการค้าต่างประเทศออกปีละ 338,000 ฉบับ (ข้อมูลปี 67) แต่มีเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ 10 คน ยังไม่นับที่ออกจากสภาหอการค้า สภาอุต หอการค้าจังหวัดอีก รวมๆ มี C/O ออกไปจากประเทศเราอย่างน้อย 5-6 แสนฉบับต่อปี (C/O หรือ Certificate of Origin หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดของสินค้า) ในวงการเอกชนต่างก็รู้ว่าการออก C/O ปลอมนั้นสร้างปัญหาและทำลายชื่อเสียงสินค้าไทย
2) ปัญหาสินค้าต่างชาติทะลัก มีการประเมินว่า หลังมีภาษีทรัมป์ จีนจะระบายสินค้าหนักขึ้น จะทะลักเข้าไทยอีกเกือบ 90,000 ล้าน เดือนที่ผ่านมา ได้ปรากฏสัญญาณอันตรายของเรื่องนี้ มูลค่านำเข้าเดือน สิงหาคม 2568 เพิ่มขึ้น 15.8% เทียบกับค่าเฉลี่ย 8 เดือนแรก ที่ขยายตัว 11.3% และถ้าไปดูไส้ใน ยิ่งน่ากังวล เพราะสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้นมาก คือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 16.9%เป็นอัตราที่เพิ่มมากกว่าค่าเฉลี่ยนำเข้ารวม และเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว สินค้ากลุ่มนี้เองที่จะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งสินค้าไทย เฉพาะไตรมาส 2 ปีนี้ ไทยนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่ม 38.3% ขณะที่ปี 2567 ไทยนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นเพียง 13%
ตัวอย่างการแก้ปัญหาของกระทรวงพาณิชย์ ที่วันนี้ทำระบบรับแจ้งเรื่องร้องเรียน ชื่อ MOC FONDUE อ้างว่าเพื่อเป็นวันสต็อปเซอร์วิส รับแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหาสินค้าไม่ได้มาตรฐาน และนอมินี เมื่อส่งเรื่องร้องเรียนกลับได้รับแจ้งว่าต้องไปติดต่อหน่วยงานตรงเอง แม้กระทั่งแจ้งว่าต้องไปติดต่อหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์เอง เช่น ร้องเรียนเรื่องร้านอาหารเก็บ VAT แต่ขอใบกำกับภาษีไม่ได้ ซึ่งร้านนอมินีชอบทำแบบนี้ แต่ MOC Fondue ตอบว่าให้ไปแจ้งสรรพากร หรืออีกกรณี ร้องเรียนว่ามีร้านค้าเข้าข่าย น่าสงสัยว่าเป็นนอมินี MOC Fondue กลับให้ไปแจ้งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งก็อยู่กระทรวงเดียวกัน
การป้องกันปัญหาสินค้าราคาต่ำทะลัก กระทรวงพาณิชย์มีเครื่องมือที่เรียกว่า มาตรการทางการค้า เป็นการขึ้นภาษีเพื่อตอบโต้กรณีที่เรากำลังโดนกระทำอย่างไม่เป็นธรรม เช่น โดนผู้ประกอบการต่างชาติทุ่มตลาด ขายราคาต่ำกว่าต้นทุน หรือตอบโต้การอุดหนุนของรัฐบาลต่างประเทศจนของถูกเกินจริง แต่มาตรการทางการค้าเหล่านี้เรากลับใช้น้อยมาก เมื่อเทียบกับที่ประเทศอื่นใช้กับเรา
3) ปัญหามาตรการเยียวยาที่ล่าช้า ที่ SME เข้าไม่ถึง รัฐบาลที่ผ่านมาประกาศว่าจะมีซอฟท์โลน 2 แสนล้าน ช่วยผู้ประกอบการ รักษาสภาพคล่องที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า สำนักงานประกันสังคมก็ได้เตรียมสินเชื่อพยุงการจ้างงาน วงเงิน 30,000 ล้านบาท แต่ผ่านมา 2 เดือนกว่า ยังไม่มีผู้ประกอบการสักคนได้รับการช่วยเหลือ รัฐบาลจะมีแนวทางเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร
สุดท้าย สิทธิพลเสนอ 3 มาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือ SME
1) แก้ไขปัญหา Transshipment หรือสินค้าสวมสิทธิ เตรียมความพร้อมทรัพยากร สำหรับแก้ปัญหา เช่น ปรับปรุงกระบวนการออกและตรวจสอบหนังสือรับรองถิ่นกำเนิด (C/O) เพิ่มจำนวนคน ระบบ เทคโนโลยี ให้เหมาะสม ทำระบบติดตามเรื่องร้องเรียนให้โปร่งใส มี DASHBOARD เปิดเผยสถานะการแก้ปัญหา เพื่อสามารถติดตามการแก้ปัญหาให้เร็ว และแก้ได้จริง
2) แก้ปัญหา สินค้าไม่ได้มาตรฐาน สินค้าราคาต่ำทะลัก โดยเปิดเผยข้อมูลการเจรจา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมตัว เช่นการออกมาตรฐานสินค้าใหม่ๆ และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าให้เข้มข้น
3) เร่งมาตรการเยียวยา ให้ SMEs เข้าถึงได้ มีตัวชี้วัดการเข้าถึงมาตรการ Soft Loan ของ SMEs ว่าเข้าถึงได้จริง ระยะเวลาในการอนุมัติสินเชื่อไม่นานเกินไป ติดตามตัวเลขการจ้างงาน / ลดคนงาน / การปิดตัว ของ SMEs เพื่อประเมินว่า SMEs เข้าถึงมาตรการรักษาการจ้างงานหรือไม่
Advertisement